Human resource management

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

หงุดหงิดก่อนเมนส์มา เป็นเพราะอะไรนะ?


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

          โอ๊ย...หงุด หงิดจริง ๆ จากสาวใจเย็นก็แปลงร่างเป็นสาวขี้ฉุนเฉียว อะไรไม่ได้ดังใจก็วีนแตก เฮ้อ...สาว ๆ หลาย ๆ คน มักมีอาการเช่นนี้ก่อนประจำเดือนมาราว ๆ 1 สัปดาห์ สงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงหงุดหงิด อารมณ์ไม่ค่อยดีในช่วงเวลาแบบนี้ทุกทีเลย นิตยสาร Woman Plus มีคำตอบค่ะ

          คำตอบก็คือ การที่ผู้หญิงมักจะมีอาการหงุดหงิดในช่วงก่อนประจำเดือนมา หรือช่วงใกล้มีประจำเดือนนั้น เกิดขึ้นเพราะมีอาการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงในช่วง เวลานี้นั่นเอง จนเกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย อันเป็นเหตุให้ผู้หญิงบางคนต้องพบกับความผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกายได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอาการทางกาย หรืออาการทางใจก็ตาม

          อาการ ทางกาย เช่น มีสิวขึ้น ตัวบวม ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดเอว ปวดศีรษะ เจ็บคัดตึงหน้าอก หรือเต้านม มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ซึมเศร้า กระวนกระวาย ไม่มีสมาธิ เดี๋ยวอารมณ์ดีเดี๋ยวไม่ดี เป็นต้น หากมีอาการในช่วงก่อนมีเมนส์มา 1 สัปดาห์ และพอรอบเดือนมาได้ 2-3 วัน อาการเหล่านี้ก็จะหายไปนั้น ก็ขอให้ฟันธงได้เลยว่า อาการเหล่านี้ก็คืออาการอันไม่พึงประสงค์ก่อนที่จะมีประจำเดือนนั่นเอง

          สำหรับใครที่อยากจะป้องกัน หรือแก้ไขอาการก่อนประจำเดือนมาแบบนี้ ก็แก้ไขได้ไม่ยาก โดยเริ่มตั้งแต่การรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่ให้วิตามินบีรวม แคลเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เล่นโยคะ เต้นแอโรบิก สวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังเพลงเบา ๆ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม รสจัด และกาเฟอีนจากชา กาแฟ ก็พอจะช่วยลดอาการอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้ได้บ้าง

          และสำหรับผู้หญิงที่รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่แล้ว ก็สามารถเลือกรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนช่วยลดอาการอันไม่ พึงประสงค์ก่อนมีประจำเดือนได้ เช่น ฮฮร์โมนดรอสไพรีโนน เป็นต้น ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้นอกจากจะลดอาการอันไม่พึงประสงค์ด้วยการปรับสมดุลของ ฮอร์โมนในร่างกายแล้ว ยังมีฤทธิ์ต้านฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชาย จึงใช้ในการรักษาสิว ผิวมัน ขนดกได้ดีอีกด้วย

ที่มา http://health.kapook.com/view46694.html

เคล็ด(ไม่)ลับ.. รีเซตชีวิตทุกเช้าให้สดใสซาบซ่า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
          ตอนเช้าถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะวัยที่กำลังศึกษา และวัยทำงาน เพราะทุกคนต้องรีบเร่งทำกิจกรรมส่วนตัวแข่งกับเวลา ก่อนจะออกไปโรงเรียน หรือออกไปออฟฟิศ ซึ่งบางครั้งความเร่งรีบนี้เองที่่ทำให้คุณหงุดหงิดอารมณ์เสียไปทั้งวัน ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องจุกจิกกวนใจ ก่อนออกจากบ้าน วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็เลยอยากจะชวนเพื่อน ๆ มารีเซตชีวิตให้ตื่นมาพร้อมกับความสดใสตอนรับวันใหม่กันค่ะ

1. อาหารเช้า
          ถ้าคุณไม่อยากจะตื่นมาเจออะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ ล่ะก็ ลองเปลี่ยนเมนูอาหารเช้า ด้วยการหาอะไรที่ไม่เคยทานบ้าง หรือถ้าคุณมักจะทำอาหารเช้าทานเองที่บ้านก็ลองสลับสับเปลี่ยนเมนูอาหารเช้า สักหน่อย อาจจะหาไอเดียใหม่จากอินเทอร์เน็ต หรือคำแนะนำดี ๆ จากหนังสือก็ได้ เช่น ถ้าวันจันทร์คุณทานโจ๊ก วันอังคารก็ลองเปลี่ยนมาทานไข่เจียว หรือเริ่มต้นวันศุกร์ด้วยอาหารเบา ๆ อย่างเช่น แพนเค้กสักชิ้นสองชิ้นก็ได้ แต่ถ้าอยากจะเพิ่มสารอาหารก็ลองเปลี่ยนมาทานอาหารที่มีธัญพืชอย่างเช่น แซนด์วิชขนมปังโฮลวีต หรือข้าวกล้องราดแกงร้อน ๆ สักจาน ดูบ้าง ก็ดีเหมือนกันนะ

2. ของใช้
          ถ้าเป็นไปได้คุณก็ควรพยายามจัดของใส่กระเป๋าให้เสร็จซะตั้งแต่ตอนกลางคืน ยิ่งถ้าคุณมีลูกก็ยิ่งต้องทำ เพราะถ้าคุณจัดเตรียมของไว้ก่อน ก็จะช่วยประหยัดเวลาตอนเช้าไปได้มากทีเดียว ที่สำคัญเมื่อเตรียมของเสร็จแล้วก็ควรนำไปไว้ใกล้ ๆ ประตู อาจจะวางไว้บนโต๊ะ โซฟา หรือหาที่แขวนสวย ๆ มาแขวนไว้ก็ได้ และถ้าอยากจะประหยัดเวลาอีกนิด ก็พยายามสอนลูกให้ช่วยเหลือตัวเองบ้าง โดยอาจจะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น ใส่ถุงเท้ารองเท้าเอง ทานอาหารเอง และหยิบของใช้เอง แต่ทั้งนี้คุณก็ควรวางของของลูก ไว้ในตำแหน่งที่เขาสามารถหยิบได้เองด้วยนะคะ

3. การแต่งตัว

          หลาย ๆ คนมักจะใช้เวลาไปกับการเลือกใส่เสื้อผ้า และนอกจากนี้ยังต้องคิดต่อไปอีกว่าจะทำผม แต่งหน้าอย่างไรให้เข้ากับชุด ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้คุณเสียเวลาไปไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นคุณควรคิดไว้ก่อนเลยว่าพรุ่งนี้จะแต่งตัวอย่างไร ถ้าคุณมีชุดยูนิฟอร์มก็รีดให้เรียบร้อยแล้วนำมาแขวนเอาไว้หน้าตู้เสื้อผ้า แล้วตอนเช้าก็หยิบใส่ได้เลยไม่ต้องคิดมาก ทรงผมก็พยายามหลีกเลี่ยงทรงที่ต้องใช้อุปกรณ์เซต เพราะมันจะทำให้คุณเสียเวลาโดยใช่เหตุ อาจจะเลือกรวบหางม้า หรือถักเปียเก๋ ๆ ก็ได้สวยดีออก ส่วนแต่งหน้าก็เอาแต่พองาม แล้วเก็บเครื่องสำอางค์เอาไว้จัดเต็มตอนไปเที่ยวดีกว่า

4. ตื่นให้เร็วขึ้น

          คุณควรจะตื่นก่อนเวลาปกติ 15 นาที ถ้าคุณยังทำไม่ได้ก็ลองปรับวันละ 5 นาทีดูก่อนก็ได้ ซึ่งช่วงแรก ๆ อาจจะทำยากสักหน่อย แต่ถ้าคุณทำจนติดเป็นนิสัยแล้วล่ะก็คราวนี้ตื่นเช้าก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ล่ะ นอกจานี้คุณอาจจะเปิดเพลงคลอเบา ๆ ระหว่างอาบน้ำไปด้วยก็ได้ เช่น เพลงบลอสซั่ม เพลงคลาสสิก เป็นต้น เพราะเสียงเพลงจะปรับอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้น แต่ถ้าคุณไม่ชอบฟังเพลงก็ลองสูดหายใจเข้า - ออก แบบลึก ๆ สัก 5 นาที หรือออกกำลังกายเบา ๆ ตอนเช้าแทนก็ได้ ไม่ว่าจะหมุนแขน หมุนคอ หมุนไหล่ ก็ช่วยทำให้คุณสดใสได้ทั้งนั้นเลย

5. นอนให้เร็วขึ้น

          การที่คุณนอนดึกแล้วคิดว่าจะนอนชดเชยในช่วงเสาร์ - อาทิตย์ล่ะก็ ไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเลยนะคะ เพราะนอกจากจะทำลายสุขภาพของคุณเองแล้ว ยังทำให้เวลานอนของคุณเพี้ยนไปด้วย ฉะนั้นไม่ว่าวันไหน ๆ ก็ควรเข้านอนให้ตรงเวลาดีกว่า

          เชื่อว่าหากเพื่อน ๆ ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตาม 5 ข้อที่กล่าวมานี้ ก็จะช่วยเปลี่ยนยามเช้าที่แสนน่าเบื่อให้กลับมาสดใสได้อีกครั้งหนึ่งแน่นอน จ้า^^

ที่มา http://hilight.kapook.com/view/75799

ไม่ว่าฤดูไหน ๆ ก็รับมือริมฝีปากแห้งได้ด้วยวิธีเหล่านี้

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ใคร ว่าริมฝีปากแห้งเกิดขึ้นได้เฉพาะในหน้าหนาว ไม่ว่าจะหน้าร้อนหรือว่าหน้าฝน ริมฝีปากของเราก็มีสิทธิ์แห้งแตกได้ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งวิธีรับมือกับเรียวปากแห้งแตก ลอกเป็นขุย แสบและคันยิบ ๆ ก็เป็นวิธีสุดคลาสสิกที่ใช้ดูแลริมฝีปากได้ดีทุกฤดูกาล ดังวิธีเหล่านี้ค่ะ 

     1. ลิปบาล์ม เพื่อนแท้ของเรียวปาก

          ไม่ว่าจะในฤดูไหน ๆ ริมฝีปากของคุณก็ห้ามห่างจากลิปบาล์มเป็นอันขาดเชียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นลิปบาล์มแบบแท่งหรือแบบตลับ ให้ทาเป็นประจำทุกเช้าเย็น รวมถึงพกติดตัวไปใช้ หยิบขึ้นมาทาปากได้บ่อย ๆ เท่าที่ต้องการในทุกครั้งที่รู้สึกว่าปากแห้ง

     2. ไม่เลียริมฝีปาก

          หลาย ๆ คนเมื่อรู้สึกว่าปากแห้งแล้วก็ชอบแลบลิ้นมาเลียริมฝีปาก นัยว่าน้ำลายจะช่วยทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นขึ้นมาได้ทันใจ แต่หารู้ไม่ว่าน้ำลายนั้นระเหยได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งทำให้ริมฝีปากแห้งกว่าเก่า เพราะฉะนั้นแทนที่เลียริมฝีปาก ก็เปลี่ยนเป็นเปิดกระเป๋าล้วงหาลิปบาล์มที่พกไว้ขึ้นมาทาดีกว่าจ้ะ เสียเวลาเพิ่มขึ้นแค่ไม่กี่อึดใจ แต่รับรองว่าดีต่อสุขภาพผิวที่ริมฝีปากมากกว่าแน่นอน

     3. เลือกใช้ลิปสติกที่มีมอยส์เจอไรเซอร์
          ไม่ว่าริมฝีปากจะอยู่ในสภาพไหน สาว ๆ ก็อดใจไม่ได้ที่จะใช้ลิปสติกในการเติมสีสันให้กับเรียวปากอยู่ดี แต่ถ้าใช้แล้วมันทำร้ายริมฝีปาก ให้ลุคที่แมตต์มากจนด้านและแห้งเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี ถ้าเจอลิปสติกแบบนี้ให้ตัดใจบอกเลิกไปเสียดีกว่า แล้วหันมาซบอกลิปสติกที่มีมอยส์เจอไรเซอร์เป็นส่วนผสม ทาปากได้สีสวยด้วยแถมยังเพิ่มความชุ่มชื้นไปพร้อม ๆ กันอีกต่างหาก ประโยชน์สองเด้งเห็น ๆ (ถ้ามีค่า SPF ด้วยก็จะเป็นสามเด้งเลยล่ะค่ะ ^^)


          นี่ แหละวิธีดูแลริมฝีปากแบบคลาสสิก ใช้ได้ผลดีจริงทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี ใครอยากเรียวปากสวยทุกซีซั่นต้องปฏิบัติตามนี้ให้เป็นนิสัยนะจ๊ะ ^^

ที่มา    http://women.kapook.com/view46472.html

พื้นฐานแต่งหน้าเด้งเป็นธรรมชาติ ง่ายนิดเดียว

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           อยากแต่งหน้าให้คนทักว่า "แหม วันนี้หน้าเด้งจัง" แต่ไม่ว่าจะลองแต่งกี่ทีก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้นเลย บางทีคุณอาจจะพลาดมาตั้งแต่ขั้นตอนพื้นฐานของการแต่งหน้าเลยก็ได้นะคะ ถ้าอย่างนั้นลองมาเช็คกันดูสิว่า ขั้นตอนพื้นฐานสุดเบสิกที่ควรทำเพื่อการแต่งหน้าที่เนียนกริบแบบสวยใสเป็น ธรรมชาตินั้น มีอะไรบ้าง

สครับผิวเพื่อผิวเรียบเนียน

           ผิว สวย ๆ ไม่ได้มาจากขั้นตอนการทาครีมหรือลงเครื่องสำอางเท่านั้น แต่ยังต้องมาจากการเตรียมผิวให้เรียบเนียนด้วยการสครับเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนการแต่งหน้า ซึ่งนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสาว ๆ จึงควรสครับผิวเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ยังไงล่ะคะ ผิวเรียบ ๆ ไม่มีเซลล์ผิวหนังที่แห้งหรือลอกเป็นขุยเล็ก ๆ จะทำให้คุณแต่งหน้าได้สวย ลงรองพื้นก็เนียน เบลนด์สีเครื่องสำอางก็ทำได้ไม่สะดุดมือ และไม่จับตัวเป็นปื้นด้วย

ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ก่อนการแต่งหน้าทุกครั้ง

           สาว ๆ หลายคนมักข้ามขั้นตอนนี้ไป เพราะเห็นว่าหน้าก็ไม่ได้มีปัญหาผิวแห้งอะไรมากมาย ประหยัดเวลาดีด้วย และกลัวทาลงไปแล้วหน้าจะยิ่งมัน เดี๋ยวแต่งหน้าไม่ติด แต่ความจริงผิวที่ได้รับการบำรุงให้ชุ่มชื้นแล้วต่างหากที่จะทำให้เครื่อง สำอางเกาะผิวได้ดีกว่า และหากรู้สึกว่าหน้ามันระหว่างวันคุณก็สามารถซับมันและเติมแป้งได้ ดีกว่าปล่อยให้ผิวขาดการบำรุงเป็นประจำ ซึ่งจะทำให้ผิวเหี่ยวถาวรได้ค่ะ

Less is more แต่งน้อยได้มาก

           ถ้า รักจะแต่งหน้าให้ออกมาดูเป็นธรรมชาติ ให้ยึดสีเฉดนู้ดเอาไว้เป็นหลัก ไม่ปัดแก้มจัดไป ไม่ทาปากจัดไป ไม่แต่งตาหนักไป ยึดหลัก Less is more เข้าไว้ แต่งน้อย ๆ ก็ทำให้ดูเนียนใสเป็นธรรมชาติได้จริง ๆ

ที่มา...http://women.kapook.com/view46702.html

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

เมล็ดมะขาม เสริมภูมิต้านทาน ยับยั้งเซลล์มะเร็ง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผลวิจัย ชี้ เมล็ดมะขาม มีประโยชน์มาก ช่วยเสริมภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อไวรัส และยังยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ด้วย ยืนยัน ไม่มีพิษต่อร่างกาย

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 9 "การนวดไทย มรดกไทยสู่มรดกโลก" ที่อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 6 กันยายน รศ.พร้อมจิต ศรลัมภ์ อาจารย์ประจำสำนักงานข้อมูลสุมนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิล ได้แถลงข่าว "รวมพลคนต้านมะเร็งจากสหวิชาชีพ" เกี่ยวกับผลวิจัยเรื่องเมล็ดมะขาม ที่พบว่า มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังสามารถยับยั้งการเกิดเซลล์เนื้องอกมะเร็งได้

          โดย รศ.พร้อมจิต กล่าวว่า ในงานวิจัยของต่างประเทศหลายชิ้นที่ได้วิจัยเกี่ยวกับเมล็ดมะขาม พบว่า ในเนื้อเมล็ดมะขามมีไขมันและโพลีแซคคาไลด์ ซึ่งโพลีแซคคาไลด์นี้มีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยมันจะไปกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายสูงขึ้น เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะเชื้อไวรัส


          นอกจากนี้ สารโพลีแซคคาไลด์ ยังเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ไม่ก่อให้เกิดโรคเบาหวานเหมือนน้ำตาลโมเลกุลคู่อย่างกลูโคส โดยจากการทดลองพบว่า เมล็ดมะขามสามารถรักษาภาวะเบาหวานของหนูทดลองได้ ส่วนเปลือกเมล็ดมะขามที่มีสีน้ำตาล มีสารแทนนินที่ไม่ละลายน้ำเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 35 สามารถนำมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคได้

          ส่วนเรื่องความเป็นพิษต่อร่างกายนั้น รศ.พร้อมจิต เปิดเผยว่า ในงานวิจัยของต่างประเทศเคยทดสอบ เพื่อหาว่าเมล็ดมะขามมีพิษต่อร่างกายหรือไม่ ซึ่งได้ทดสอบทั้งพิษแบบเฉียบพลัน และพิษระยะยาว 3-4 เดือน แต่ก็ไม่พบว่าเมล็ดมะขามทำให้เกิดพิษในร่างกาย ดังนั้น จึงสามารถทานเมล็ดมะขามได้เหมือนอาหารอย่างหนึ่ง

          อย่างไรก็ตาม อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ยังย้ำว่า ควรทานอาหารอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ไม่ใช่ทานเมล็ดมะขามเพื่อป้องกันมะเร็งเพียงอย่างเดียว

ที่มา..http://health.kapook.com/view46881.html

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

6 เทคนิคการดูแลผิวหน้าด้วยผลไม้


ทุกวันนี้ผิวโดนทำร้ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือมลภาวะต่างๆ ถึงเวลา Back to the nature เพิ่มเติมความสดใสคืนสู่ผิวกันแล้วนะจ๊ะ สำหรับหนุ่มสาวที่อยากหน้าใสสวยเด้ง ฟังทางนี้ โบว์ มี 6 สูตรมาร์คหน้าง่ายๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส มาฝากกันโดยใช้ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบหลัก
1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม:  น้ำผึ้ง 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
3. สูตรกระชับรูขุมขน
ส่วนผสม: กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย
น้ำมันดอกทานตะวัน
มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
  • สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
ส่วนผสม: กล้วย 1 ผล
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
  • สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา
ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ
ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น
  • เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
Tips:
  • ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
  • ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
  • ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
  • เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ

ศาสตร์ธรรมชาติบำบัด...ลดความอ้วน

เพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ ลดน้ำหนักด้วยการกินยาลดความอ้วนหรือใช้วิทยาการทาง การแพทย์ เราจึงรวบรวมศาสตร์การลดน้ำหนักแนวธรรมชาติที่เป็นจริงและเห็นผล โดยไม่มีอันตรายต่อสุขภาพมาบอกคะ
- ดลจิตลดความอ้วน
เป็น เทคนิคการลดความอ้วนใหม่ล่าสุด ประยุกต์ศาสตร์ด้านจิตวิทยาและโภชนาการมาควบคุมพฤติกรรมการกินที่ส่งผลกระทบ ต่อสุขภาพจนทำให้เกิดโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน โดยผู้เข้ารับการรักษาต้องตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อน เพื่อวิเคราะห์สาเหตุปัจจัย ที่ทำให้เกิดความอ้วน แล้วก็จะออกรหัสคำสั่งให้ผู้เข้ารับการรักษาท่องจำรหัสที่กำหนดไว้
อย่างคำว่า กินอาหารช้าๆ กินผัก โดยถ้อยคำที่ใช้เป็นรหัสจะต้องไม่เป็นถ้อยคำปฏิเสธ โปรแกรมลดความอ้วนด้วยวิธีดลจิตจะใช้เวลารักษาต่อเนื่องเดือนละ 21 วันและต้องรับการรักษาให้ครบคอร์ส 3 เดือนหรือ 5 เดือน
- หัวเราะบำบัด (ช่วยลดความอ้วน)
มี ข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันจากอเมริกาว่า ถ้าคุณสามารถหัวเราะวันละนิดจะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมยิ่งเครียดยิ่งกิน ของ คนน้ำหนักเกินส่วนใหญ่ แม้ว่าจะโหมกินยาลดความอ้วน ดูไขมัน อดอาหาร แต่ตราบใดที่ยั งเครียดอยู่ก็ยากที่จะผอมสมใจและมีผลเสียต่อสุขภาพตามมามากมา
แต่เมื่อคุณหัวเราะสารแห่งความสุขออกมา ช่วยให้จิตใสบายขึ้น ปัจจุบันมีชมรมหัวเราะบำบัดเกิดขึ้นกว่า 3,000 แห่งทั่วโลก ส่วนในเมืองไทยไปร่วมกิจกรรมได้ที่ "โครงการศาสตร์และศิลป์แห่งการหัวเราะบำบัด"ทุกวันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 14.00 น. อาคาร 14 ชั้น 2 ห้องโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ไม่เสียค่าใช้จ่าย
- อาหารบำบัด
เน้น การกินให้น้อยลง แต่ไม่ใช้วิธีการอดอาหาร เช่น ในแต่ละมื้อกินให้น้อยลง หรือกินเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่เคยกิน สร้างความพึงพอใจในรสชาติของอาหาร
คือ การกินช้าๆ เพื่อให้ซึมซับรสชาติให้มากที่สุด งดอาหารหวานๆ เพราะการกินแป้งและน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้อ้วนได้ แล้วเน้นกินอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักและผลไม้ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพไปในตัวขณะที่ผอมลง
- ตากแดดลดอ้วน
สาวๆ เคยสังเกตตัวเองไหมคะว่า เรามักจะดูซูบลงเล็กน้อยตอนหน้าร้อน ทั้งที่ไม่ได้อกกำลังกายเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนอาหารที่กินในแต่ละวัน แต่เพราะแสงอาทิตย์ช่วยผลิตฮอร์โมนสองตัวในการเผาผลาญอาหาร นั่นคือวิตามินดี และ Melannocyte Stimulating Hormone (MHS) นั่นเอง เป็นที่รู้กันว่าวิตามินดีช่วยเสริมสร้างกระดูก ซึ่งมีผลต่อ Immune System และการเผาผลาญอาหาร
ส่วน MHS ทำหน้าที่เผาผลาญไขมัน ซึ่งผลิตโดย The Pigment Cells ในชั้นผิวหนังและเซลล์ตัวนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อได้รับแสงอัลตร้าไวโอเล็ตที่ มาพร้อมกับแสงอาทิตย์ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปยืนตากแดดให้ตัวดำปี๋ ทุกวันเพราะอยากลดความอ้วน เพราะอาจเป็นมะเร็งผิวหนังได้ แค่ตื่นเช้าหน่อยไปออกกำลังกายรับแสงแดดทุกวัน งดแป้ง ขนมหวาน และกินผักผลไม้เพิ่มขึ้น แค่นี้หุ่นก็ปิ๊งแล้วคะ
- โยคะบำบัดลดความอ้วน
คุณ คงเคยได้ยินกันถึงวิธีการฝึกโยคะเพื่อรักษาสุขภาพกันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ และทราบไหมคะว่า การเล่นโยคะนั้นนอกจากจะเป็นการฝึกกล้ามเนื้อ ช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ และเป็นการฝึกสมาธิแล้ว
สำหรับคนที่มีน้ำหนักเกิน การฝึกโยคะเป็นประจำจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้ใช้พลังงานมากขึ้น แทนการออกกำลังกายแบบแอโรบิคเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกของกระดูกและข้อ ต่างๆ
- ฝังเข็มลดความอ้วน
เป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีน ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นสะโพก ต้นขา ต้นแขน หรือหน้าท้องเพราะจะช่วยในเรื่องดึงพลังงาน กระตุ้นพลังงานหรือเรียกว่าพลังงานลมปราณ (ชี่) ซึ่งเมื่อพลังงานวิ่ง เลือดลมก็จะวิ่งตาม ทำให้เกิดการเผาผลาญไขมัน

ขอบคุณข้อมูลจาก www.momypedia.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

เงินไม่สำคัญเสมอไป

เงิน ซื้อเตียงนอนได้                    แต่ ซื้อการหลับเป็นสุขไม่
เงิน ซื้อกระดาษปากกาได้             แต่ ซื้อความเป็นกวีไม่ได้
เงิน ซื้อความประจบสอพลอได้      แต่ ซื้อความจริงใจไม่ได้
เงิน ซื้อเพื่อนที่ร่วมเดินทางได้       แต่ ซื้อเพื่อนแท้ไม่ได้
เงิน ซื้อ อำนาจศักดิ์ศรีได้            แต่ ซื้อปัญญาไม่ได้
เงิน ซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ได้           แต่ ซื้อสันติสุขไม่ได้
เงิน ซื้อเมียที่สวยได้                   แต่ ซื้อแม่ที่ดีของลูกไม่ได้

ที่มา... http://www.blogger.com/feeds/118222556200725183/posts/default

ปรัชญาชีวิต

เราจะเห็น ตัวตนที่แท้จริง ของเพื่อนเรา
ก็ตอนที่เรา ทุกข์ยาก
เราจะเห็น ตัวตนที่แท้จริง ของคนที่บอก ว่ารักเรามาก
ก็ตอนที่ ต้องมาลำบาก ด้วยกัน
( Cr. Ya Antacil )

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำ (behavioral theories).

การศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำ ได้มีผู้ให้แนวคิดไว้ดังนี้ (สมยศ นาวีการ, 2540, หน้า 167-173)
             ในระหว่างปี พ. ศ. 2493 ความไม่พอใจกับวิธีการศึกษาความเป็นผู้นำเชิงคุณลักษณะได้ทำให้นักพฤติกรรมศาสตร์มุ่งความสนใจของพวกเขาไปสู่พฤติกรรมของผู้นำที่เกิดขึ้นจริง รากฐานของวิธีการศึกษาเชิง ‘‘สไตล์ความเป็นผู้นำ’’คือความเชื่อว่าผู้นำที่มีประสิทธิภาพ จะใช้สไตล์บางอย่างเพื่อที่จะนำบุคคล และกลุ่มบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ภายใต้ข้อบกพร่องบางอย่างของการศึกษาเชิงคุณลักษณะ นักวิจัยได้หันเหไปพิจารณาพฤติกรรม หรือการกระทำที่แบ่งแยกระหว่างผู้นำที่มีประสิทธิภาพ แลไม่มีประสิทธิภาพเหมือนกับทฤษฎีเชิงคุณลักษณะ ทฤษฎีพฤติกรรมเหล่านี้จะถูกมองว่าเป็นการประยุกต์ใช้ได้โดยทั่วไป โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ที่ผู้นำได้เผชิญอยู่
             ทฤษฎีเชิงพฤติกรรมจะเกี่ยวพันกับวิถีทางที่บุคคลนำ และพวกเขาจะใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างไร พฤติกรรมเหล่านี้จะถูกเรียกว่าสไตล์ความเป็นผู้นำ สไตล์ความเป็นผู้นำ คือ แบบแผนของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นประจำของผู้นำ แม้ความเป็นผู้นำทุกอย่างจะเกี่ยวกับการใช้อำนาจเพื่อที่จะมีอิทธิพลต่อบุคคลอื่น  ผู้นำอาจจะแตกต่างกันภายใน‘‘สไตล์’’ที่พวกเขาใช้เพื่อที่จะให้เขาบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ปัจจัยสองอย่างที่ถูกเน้นภายในการศึกษาความเป็นนำเชิงพฤติกรรมคือ การมุ่งงานเละการมุ่งคน การมุ่งงานหมายถึง งาน การแบ่งงานกันทำ การตัดสินใจ และการประเมินผลงาน การมุ่งคนหมายถึง พฤติกรรมของผู้นำที่มุ่งการเปิดรับและความเป็นมิตร และการให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา การศึกษาเชิงพฤติกรรมจะประกอบด้วยการศึกษาของมหาวิทยาลัยไอโอวา มหาลัยมิชิแกน มหาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ และตาข่ายการบริหารของเบลดและมิตัน
             ทฤษฎีและการวิจัยมีการใช้หลายกรอบแนวความคิด การศึกษาครั้งแรกได้ถูกดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยไอโอวา ในปี พ.ศ. 2481 ของ Lewin, Lippitt and White ได้ศึกษาทดลองภาวะผู้นำ 3 แบบ คือ (1) แบบเผด็จการ (autocratic) เป็นลักษณะของการควบคุมกิจกรรมของกลุ่ม และตัดสินใจโดยผู้นำ (2) แบบประชาธิปไตร (democratic) เป็นแบบที่เน้นการมีส่วนร่วมของกลุ่ม และกฏเกณฑ์ที่สำคัญ (3) แบบตามสบาย (laissez-faire) ผู้นำที่มีส่วนเกี่ยวข้องน้อยมากในทุกกิจกรรม ผลการวิจัยได้ผลว่าภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตรได้ผลในกระบวนการกลุ่มดีกว่าแบบอื่น ๆ แต่ย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่าง (เด็กวัยรุ่นยี่สิบคน) ที่ถูกใช้และขอบเตในการวิจัยที่แคบจึงจำกัดการประยุกต์ใช้ข้อมูลที่ค้นอย่างมาก ที่นอกเหนือจากตัวอย่างศึกษา แต่กระนั้นการศึกษาความเป็นผู้นำของไอโอวาจะนำมาซึ่งยุคของพฤติกรรม แทนที่จะเป็นคุณลักษณะของความเป็นผู้นำที่ได้รับความสนใจภายในการวิจัย
ต่อมา มหาลัยมิชิแกนได้ดำเนินการศึกษาผู้นำของกลุ่มงานที่มีประสิทธิภาพแลไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะพิจารณาว่าผู้นำได้กระทำอะไรบ้างที่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มงานสองกลุ่มบนพื้นฐานของการสัมภาษณ์และแบบสอบถาม พวกเขาได้ระบุพฤติกรรมของผู้นำสองแบบ ที่ปลายสุดด้านหนึ่งของแนวต่อเนื่อง จะเป็นพฤติกรรมแบบมุ่งคน (employee-centered behavior) และปลายสุดอีกด้านหนึ่งของแนวต่อเนื่องจะเป็นพฤติกรรมพฤติกรรมแบบมุ่งงาน (job-centered behavior) ด้วยวิธีการมุ่งคน ผู้บริหารจะมุ่งความสนใจของพวกเขาไปยังการพัฒนากลุ่มงานที่มีประสิทธิภาพที่ทุ่มเทให้กับเป้าหมาย การดำเนินงานที่สูงด้วยวิธีการมุ่งงานผู้บริหารจะแบ่งงานเป็นงานประจำวัน กำหนดวิธีการทำงานและควบคุมพนักงานอย่างใกล้ชิด ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่ากลุ่มงานที่มีผลการดำเนินงานสูง (เปรียบเทียบกับกลุ่มงานที่มีผลการดำเนินงานต่ำ) หัวหน้างานจะมุ่งใช้การควบคุมที่ไม่เข้มงวด และตอบสนองต่อปัญหาด้วยการช่วยเหลือ แต่คำอธิบายเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายตามสภาพการณ์ได้ทุกเวลา เพราะเป็นไปได้ว่าผู้นำบางคนก็เน้นทั้งคนและงาน
ผลการวิจัยที่แพร่หลายต่อมาได้แก่ การศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งโอไฮโอนักวิจัยมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ ได้พบว่า พฤติกรรมของผู้นำสามารถอธิบายในแง่ของมิติสองมิติ คือ การมุ่งคนและการมุ่งงาน การมุ่งคน (consideration) หมายถึงพฤติกรรมของผู้นำที่มุ่งการสร้างความไว้วางใจร่วมกัน การติดต่อสื่อสารแบบสองทาง การเคารพต่อความคิดเห็นของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และการให้ความสำคัญกับความรู้สึกของพวกเขา ส่วนการมุ่งงาน (initiating structure) นั้น หมายถึง พฤติกรรมของผู้นำที่มุ่งระบุงานและความรับผิดชอบที่เจาะจงของสมาชิกองค์กรให้ชัดเจน การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงาน การประสานกิจกรรมของพนักงาน การมุ่งความสำคัญของกำหนดการผู้นำอาจจะมีสไตล์ผู้นำอย่างใดอย่างหนึ่งภายในสี่แบบคือ การมุ่งงานสูง/การมุ่งงานต่ำ
             การมุ่งงานสูง/การมุ่งคนสูง การมุ่งงานต่ำ/การมุ่งคนต่ำ หรือการมุ่งงานต่ำ/การมุ่งคนสูง และผลการวิจัยพบว่าสไตล์ผู้นำที่มุ่งงานสูง/มุ่งคนสูง จะมีผลการดำเนินงานและความพอใจสูงกว่าสไตล์ผู้นำแบบอื่น แต่กระนั้นการวิจัยอย่างอื่นได้พบว่าผู้นำที่มีประสิทธิภาพอาจจะมุ่งคนสูง/มุ่งงานต่ำ หรือมุ่งคนต่ำ/มุ่งงานสูงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ดังนั้นสไตล์การมุ่งงานสูง/มุ่งคนสูง อาจจะไม่ดีที่สุดเสมอไป
มหาวิทยาลัยเท็กซัส ได้วิเคราะห์ข้อบกพร่องบางอย่างในการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ และได้ประยุกต์ใช้ข้อสรุปจาการวิจัยของพวกเขาเอง ด้วยการพัฒนาตารางการบริหาร (the managerial grid) ขึ้นมา หรือตารางความเป็นผู้นำ ตารางการบริหารจะระบุมิติสองมิติของพฤติกรรมความเป็นผู้นำ ว่าเป็นการมุ่งคนและการมุ่งงาน การมุ่งงานของผู้บริหารจะถูกประเมินตามมาตราส่วนเก้าคะแนน 9 จะหมายถึงการมุ่งงานสูงมาก และ 1 จะหมายถึงการมุ่งงานต่ำมาก ผู้บริหารที่มุ่งงานสูงจะมุ่งผลสำเร็จหรือการบรรลุเป้าหมาย มิติที่สองคือ การมุ่งคนที่ถูกประเมินตามมาตราส่วนเก้าคะแนนด้วย 9 จะหมายถึงการมุ่งคนสูงมาก และ 1 จะหมายถึงการมุ่งคนต่ำมาก ผู้บริหารที่มุ่งคนสูงจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งแลพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เบลค และมูตัน เสนอแนะว่าตำแหน่ง 9,9 (มุมขวาบนองตารางความเป็นผู้นำ) จะเป็นสไตล์ความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด นั้นคือผู้บริหารที่มุ่งงานสูงและคนสูงพร้อมกัน จะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด รูปแบบหรือสไตล์การบริหารในตารางความเป็นผู้นำสามารถอธิบายได้ดังนี้คือ การบริหารสไตล์ 1,1 (impoverished management) คือ การบริหารแบบปล่อยตามสบาย มุ่งงาต่ำและมุ่งคนต่ำ การบริหารสไตล์ 1,9 คือ การบริหารแบบสโมสร (country-club management) มุ่งคนสูงแต่มุ่งงานต่ำ การบริหารสไตล์ 9,1 คือการบริหารแบบเผด็จการหรือมุ่งงาน (task or authoritarian management) มุ่งงานสูงแต่มุ่งคนต่ำ การบริหารสไตล์ 5,5 คือการบริหารแบบเดินสายกลายง (middle of the road management) มุ่งทั้งงานและคนปานกลาง และการบริหารสไตล์9,9 คือ การบริหารแบบประชาธิปไตรหรือทีมงาน (team or democratic management) มุ่งทั้งงานสูงและคนสูง
             ดังนั้น ข้อสรุปที่สำคัญของทฤษฎีเชิงพฤติกรรมคือ สไตล์ความเป็นผู้นำ ยิ่งมุ่งคนสูงเท่าไหร่จะทำให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชายิ่งพอใจขึ้นเท่านั้น ข้อสรุปที่ว่าสไตล์ความเป็นผู้นำแบบไหนจะทำให้ผลการดำเนินงานของผู้ใต้บังคับบัญชาสูงที่สุดยังไม่แน่ชัด แต่หลักฐานบางอยางชี้ให้เห็นว่าผู้นำที่มุ่งทั้งงานสูงและคนสูงจะทำให้ผลการดำเนินงานของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาสูงที่สุด เหตุผลอย่างหนึ่งของการขาดความสัมพันธ์ที่ชัดเจน ระหว่างสไตล์ความเป็นผู้นำ และผลการดำเนินงานของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอาจจะเป็นไปได้ว่า ผู้นำไมได้ใช้สไตล์ความเป็นผู้นำแบเดียวอย่างสม่ำเสมอ หลักฐานคือ ผู้นำอาจจะปรับสไตล์ความเป็นผู้นำตามความต้องการของสถานการณ์ที่ได้เผชิญอยู่ เหตุผลประการที่สองคือ การขาดผลลัพธ์ที่ลงความเห็นแน่นอนได้ว่าสไตล์ความเป็นผู้นำแบบไหนจะมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแทนที่จะพยายามระบุสไตล์ความเป็นผู้นำมีประสิทธิภาพ เราควรจะเข้าใจสไตล์ความเป็นผู้นำแบบไหนเหมาะสมที่สุดกับองค์กร งาน และผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละประเภท เป็นต้น

บรรณานุกรม

สมยศ นาวีการ. (2540).การบริหารและพฤติกรรมองค์การ กรุงเทพมหานคร: ผู้จัดการ.

ทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ (situational theories).

การศึกษาภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ได้เริ่มสนใจกันตั้งแต่ปีทศวรรษที่ 1960-1980 เป็นการศึกษาภาวะผู้นำที่มีประสิทธิผล ‘‘วิธีที่ดีที่สุด’’ (best way) เหมาะสมกับความต้องการของสถานการณ์ต่าง ๆ มีการศึกษากันหลานแนวทางโดยการนำเอาพฤติกรรมผู้นำดั้งเดิม 3 แบบ หรือ มิติพฤติกรรมผู้นำ 2 มิติ จาการศึกษาตามทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำ ดังกล่าวมาศึกษาสถานการณ์เฉพาะที่กำหนดในแต่ละทฤษฎี ได้แก่ ทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของฟีลเลอร์ (Fiedler’s contingency theory) ทฤษฎีความเป็นผู้ตามสถานการณ์ของเฮอร์เซ่ย์ และแบลนชาร์ด (Hersey and Blaschard’s situational theory) ทฤษฎีเส้นทางเป้าหมายของเฮ้าส์ (House’s path-goal theory) ทฤษฎีปทัสถานการตัดสินใจของวรูมและเยทตัน (Vroom and Yetton’s normative decision theory) เป็นต้น การศึกษาทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ดังกล่าวกำหนดสถานการณ์ในแต่ละทฤษฎีแตกต่างกันส่วนแบบผู้นำที่มีประสิทธิผลจะใช้ผู้นำแตกต่างกันตามสถานการณ์ของแต่ละทฤษฎีนั้น ๆ ดังเช่น ทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของฟีดเลอร์ให้ความสำคัญของสถานการณ์การควบคุม (situational control) 3 สถานการณ์ คือ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ตาม (2) โครงสร้างงาน (3) อำนาจตามตำแหน่งผลการวิจัย (สมยศ นาวีการ, 2540,หน้า 186)

บรรณานุกรม

สมยศ นาวีการ. (2540). การบริหารและพฤติกรรมองค์การ กรุงเทพมหานคร: ผู้จัดการ.

ทฤษฎีคุณลักษณะ. (trait theories)

การศึกษาภาวะผู้นำในแนวคิดนี้ การเป็นผู้นำขึ้นอยู่กับลักษณะส่วนบุคคลว่าจะเหมาะเป็นผู้นำหรือไม่ คุณลักษณะของผู้นำชนิดนี้อาจจะมาจากพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อมก็ได้ มีผู้พยายามจะศึกษาคุณลักษณะผู้นำทางกาย ซึ่ง อริสโตเติล (Aristotle) เชื่อว่าความเป็นผู้นำเริ่มมาแต่กำเนิด จึงเกิดทฤษฎีผู้ยิ่งใหญ่ (the great man theory) และเชื่อกันมาจนถึงปี ค.ศ. 1950 ความเชื่อเรื่องความเป็นผู้นำโดยคุณลักษณะนี้ พยายามจำแนกผู้นำออกเป็น ผู้ที่มีคุณลักษณะทางกายและทางจิตวิทยาที่ผู้นำนั้นเกี่ยวข้อง ซึ่งพยายามอธิบายพฤติกรรมผู้นำนั้น ดังนั้นผู้ที่มีความเชื่อตามแนวคิดนี้ จึงพยายามที่จะแยกคุณสมบัติพิเศษที่ติดมากับผู้นำว่าแตกต่างกับบุคคลอื่นโดยทั่วไป เช่น ศึกษาภาวะผู้นำ ตามคุณลักษณะโดยวิเคราะห์ประวัติบุคคลสำคัญ ซึ่งพบว่าบุคคลสำคัญ ๆ มีพฤติกรรมเป็นผู้นำที่เกิดจากคุณลักษณะเป็นส่วนมาก โดยคุณลักษณะของผู้นำนั้นอาจแนกเป็น 3 ลักษณะ คือ (1) ลักษณะทางกาย พบว่าผู้นำที่เป็นหัวหน้าจะมีความสูง และมีน้ำหนักมากกว่าคนปกติโดยเฉลี่ย (2) ลักษณะทางสติปัญญา พบว่าสติปัญญามีความสัมพันธ์กับความเป็นผู้นำ ผู้นำที่มีความสามารถทางสมองสูงกว่าคนอื่น ๆ จะเป็นผู้ได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำ (3) ลักษณะบุคลิกภาพ เช่น ความเชื่อมั่นในตนเอง ความสามารถในการปรับตัว การมีลักษณะเด่น การเป็นคนเปิดเผยไม่เก็บตัว และความสามารถในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คุณลักษณะดังกล่าวมักจะพบในผู้นำมากกว่าคนปกติ (ธร สุนทรายุทธ, ม.ป.ป., หน้า 98-99)
             การวิจัยความเป็นผู้นำเริ่มแรกส่วนใหญ่จะพยายามเปรียบเทียบระหว่างคุณลักษณะของบุคคลที่กลายเป็นผู้นำและบุคคลที่เป็นผู้ตาม และระบุคุณลักษณะของผู้นำที่มีประสิทธิภาพ สมมติฐานที่รองรับของนักวิจัยคุณลักษณะดูเสมือนว่าผู้นำจะเป็นโดยกำเนิด ไม่ใช่ถูกสร้างขึ้นมา แม้ว่าผลลัพธ์ของการค้นหาคุณลักษณะเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการระบุคุณลักษณะเด่นของผู้นำ รายการคุณลักษณะที่สำคัญของความเป็นผู้นำมีอยู่อย่างไม่จบสิ้น และได้เพิ่มมากขึ้นทุกที โดยไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าเราจะมีกลุ่มของคุณลักษณะที่แน่นอนที่สามารถแบ่งแยกระหว่างผู้นำที่บรรลุความสำเร็จ และไม่บรรลุความสำเร็จ แม้ว่าคุณลักษณะเช่นบุคลิกภาพจะปรากฏเป็นปัจจัยที่สำคัญ บุคลิกภาพจะเป็นเพียงส่วนน้อยของปัจจัยหลายอย่างที่มีส่วนช่วยต่อความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ วิธีการศึกษาเชิงคุณลักษณะได้สูญเสียความนิยมไป แม้ว่านักวิจัยบางคนจะยังค้นหาคุณลักษณะของความเป็นผู้นำอยู่ ข้อสรุปเบื้องต้นของการศึกษาเหล่านี้จะอยู่ที่ว่าผู้นำโน้มเอียงที่จะมีสติปัญญา ความไว้วางใจ สถานภาพทางสังคมเศรษฐกิจ และความสูงกว่าผู้ตามของพวกเขา แต่ผลลัพธ์ของการศึกษาเหล่านี้จะไม่แน่นอน ข้อบกพรองที่สำคัญของทฤษฎีเชิงคุณลักษณะคือ เราไม่มีคุณลักษณะของผู้นำที่ถูกค้นพบว่าเกี่ยวพันอย่างสม่ำเสมอกับความสำเร็จของกลุ่ม (สมยศ นาวีการ, 2540, หน้า 166)

บรรณานุกรม

สมยศ นาวีการ. (2540). การบริหารและพฤติกรรมองค์การ. กรุงเทพมหานคร: ผู้จัดการ.

ธร สุนทรายุทธ. (ม,ป,ป,). หลักการและทฤษฎีทางบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลัยบูรพาคณะศึกษาศาสตร์.

แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำ.

 มโนทัศน์ของผู้นำ ภาวะผู้นำ (leadership) เป็นปรากฏการณ์สากลของมนุษยชาติเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับสังคมมนุษย์ ทุกสังคมไม่ว่าสังคมที่เจริญแล้วหรือสังคมที่ล้าหลังกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเล็กต่างมีผู้นำทั้งสิน ในยุคก่อนนั้นมีคำที่แสดงภาวะผู้นำ เช่น หัวหน้า ประมุข ราชา พระยา เป็นต้น ส่วนคำว่าผู้นำ (leader) เป็นคำที่เกิดในยุคหลัง มีในภาษาอังกฤษประมาณ ค.ศ.1300 แต่คำว่า ‘‘leaderhip’’ (ภาวะผู้นำ) เพิ่งจะปรากฏประมาณปี ค.ศ. 1800 ภาวะผู้นำเป็นวิธีการ (means) ของการสั่งการเพื่อให้กลุ่มได้บรรลุวัตถุประสงค์ ส่วนผู้นำคือ บุคคลที่ใช้วิธีกาหรือกระบวนการ เพื่อให้กลุ่มบรรลุวัตถุประสงค์ (เสริมศกดิ์ วิศาสาภรณ์,2536,หน้า 25-36)
             ประพันธ์ ผาสุกยืด (หน้า2541, หน้า 87) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ ความสามารถในการนำหรือภาวะผู้นำว่า เป็นคุณสมบัติหรือทักษะส่วนตัวของแต่ละบุคคลที่สามารถสร้างขึ้นได้ หากได้รับการพัฒนาฝึกฝน ผู้นำที่เราพบเห็นกันอยู่ทุกวันนี้อาจจะไม่มีความสามารถในการนำที่ดีพอก็ได้ จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมายทั้งในระดับองค์กรและในระดับประเทศ พูดง่าย ๆ ก็คือ คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำ (leader) นั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเพียบพร้อมซึ่งคุณสมบัติ และการสามารถในการนำ (leadership) เสมอไป แต่ในทางตรงกันข้าม ใครที่มีภาวะผู้นำ(leadership) เขานั้นแหละมีความพร้อม และเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำ (leader)
             ดังนั้นถ้าจะกล่าวถึงความหมายทั่วไปของผู้นำที่ประสบความสำเร็จในกระแสของความเปลี่ยนแปลงคือ ผู้ที่จูงใจคนอื่นให้ทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จโดยการชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการบรรลุเป้าหมายนั้น และผู้นะยังต้องเป็นผู้ชี้ให้เห็นวิธีการที่จะทำงานนั้นให้สำเร็จอีกด้วย ความหมายที่ลึกของผู้นำนั้น มิได้จำกัดอยู่แค่เพียงการกำหนดเป้าหมาย หรือการกำหนดการปฏิบัติ วาเรน เบนนิส ผู้สอนภาวะเรื่องผู้นำที่มหาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอเนีย กล่าวว่าพื้นฐานของภาวะผู้นำ คือ ความสามารถในการเปลี่ยนกรอบความคิดและจิตใจของผู้อื่น ซึ่งก็คือผู้นำพาคนอื่นไปให้ถึงเป้าหมายโดยการช่วยให้เขามองโลกด้วยมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมตามความหมายที่กล่าวโดยเบนนิส ผู้นำมีความหมายครบคุมกว้างขวางมากกว่าการมีตำแหน่งใหญ่โตในองค์เท่านั้น (ทิชี่,5242,หน้า 60)           
             การที่องค์กรหรือหน่วยงานจะอยู่รอดหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับบุคคล 2 ประเภท คือ ผู้นำที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า ซึ่งเรียกว่าผู้นำหรือผู้บริหาร โดยทำหน้าที่เป็นผู้บริหารองค์กรหรือผู้นำองค์กร และอีกประเภทหนึ่งคือ ผู้ปฏิบัติ โดยทั่วไปเรียกว่า ผู้ใต้บังคับบัญชา ส่วนผู้บริหารหรือผู้นำเรียกว่า ผู้บังคับบัญชา ผู้บริหารกับผู้อำนาจเป็นคนคนเดียวกันหรือเป็นคนละคนก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมที่แสดงออก ความแตกต่างของผู้นำ (leader) กับผู้บริหาร (administrator) สามารถแยกแยะได้คือ ผู้นำเป็นผู้มีพลังอำนาจสามารถโน้มน้าวจิตใจคนอื่นให้ทำตามโดยอาศัยคุณงามความดีที่เรียกว่า ‘‘พระคุณ’’ โดยไม่ต้องมาดำรงตำแหน่งเหมือนผู้บริหาร ส่วนผู้บริหารเป็นผู้ตำแหน่งและมีอำนาจตามกฎหมายจึงเป็นผู้ ‘‘พระคุณ’’ถ้าผู้ใดมีทั้งพระคุณ และพระเดชแล้ว ผู้นำกับผู้บริหารจึงจะเป็นคนเคนเดียวกัน (คุณวุฒิ คนฉลาด,2540 หน้า 11) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ธร สุนทรายุทธ (ม.ป.ป..,หน้า 97) ที่กล่าวไว้ว่า ผู้บริหารเป็นผู้ที่มีอำนาจตามที่ตนได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจเหนือขึ้นไป โดยรับผิดชอบหน่วยงานตามระเบียบแบบแผน มีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรนั้นได้บัญญัติไว้ ส่วนผู้นำเป็นบุคคลที่สามารถจูงใจบุคคลในองค์กร ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเต็มใจโดยเกิดจากการศรัทธา เลื่อมใส ผู้นำเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการที่จะนำวิธีการใหม่ ๆ มาใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งก่อให้เกิดผลดี ที่จะทำให้องค์กรดำเนินงานสำเร็จลุล่วงไปตามเป้าหมายที่ต้องการ ดังนั้น ภาวะผู้นำจึงปรากฏใน 2 ลักษณะ คือ ประการแรก ภาวะผู้นำที่เป็นทางการ (formal leadership) จะเกิดขึ้นเมื่อผู้บริหารเป็นผู้นำ โดยการอำนาจหน้าที่ที่เป็นทางการ บุคคลที่ดำรงตำแหน่งบริหารที่มีโอกาสและความรับผิดชอบที่จะใช้ความเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ ในความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บริหารบางคนจะมีความเข้าใจที่ดีต่ออำนาจหน้าที่ และความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บริหารเหล่านี้จะเป็นผู้นำที่ดี ประการที่สองคือ ภาวะผู้นำที่ไม่เป็นทางการ (informal leadership) จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่เป็นทางการสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลอื่นได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ พวกเขาสามารถกลายเป็นผู้นำ โดยความดึงดูดส่วนบุคคลของพวกเขาได้ (สมยศ นาวีการ,2540,หน้า 158)องค์กรที่ประสบความสำเร็จมีลักษณะที่สำคัญอย่างหนึ่งที่แตกต่างไปจากองค์กรที่ไม่ประสบความสำเร็จคือ ความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ การขาดแคลนผู้นำที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เกิดขึ้นกับองค์กรธุรกิจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น องค์กรของรัฐ องค์กรทางการศึกษา วัด มูลนิธิ และองค์กรอื่น ๆ ก็ต้องประสบปัญหาอย่างเดียวกันได้ (สมยศ นาวีการ,2540,หน้า 103) ดังนั้น การศึกษาภาวะผู้นำจึงได้มีการกล่าวถึง และหาคำตอบในอดีตตลอดมาแต่เพิ่งจะมีการวิจัย ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งเน้นตรวจสอบภาวะผู้นำที่มีประสิทธิผล โดยพยายามที่จะอธิบายในเรื่องคุณลักษณะ (traits) ความสามารถ (abilities) พฤติกรรม (behaviors) ที่มีของอำนาจ (source of power) หรือลักษณะของสภาพการณ์ (situation) ที่ทำให้ผู้นำสามารถมีอิทธิพลต่อผู้ตามในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม (Yuki, 1989, p. 72) และได้มีผู้ให้ความหมายคำว่า ‘‘ภาวะผู้นำ’’ แตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับผู้ให้ความหมายจะยึดอะไรเป็นเกณฑ์ เช่น
             Tennenbaurn (1959, p. 24) ได้แสดงความเห็นไว้ว่า ภาวะผู้นำเป็นการใช้อำนาจอิทธิพล หรือความสามารถในการจูงใจให้คนปฏิบัติตามความคิดเห็น ความต้องการ และคำสั่ง เป็นการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของคนอื่น
             Hersey and Blanchard (1982, p. 94) ได้แสดงความเห็นไว้ว่า ภาวะผู้นำเป็นกระบวนการที่ใช้อิทธิพลให้บุคคล หรือกลุ้มบุคคลใช้ความพยายามในการปฏิบัติงานในหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายในสถานการณ์หนึ่ง และสรุปว่ากระบานการภาวะผู้นำ (leadership) เป็นความสัมพันธ์ของผู้นำ (leader) ผู้ตาม (follower) และสถานการณ์ (situation) ซึ่งเขียนสัญลักษณ์ได้ดังนี้ L = f  (l,f,s)
             Bass (1998, p. 29) ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ภาวะผู้นำคือ กระบวนการเปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องเป็นผู้เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานของผู้ตามและต้องได้รับผลเกินเป้าหมายที่กำหนด ทัศนคติ ความเชื่อ ความเชื่อมั่น และความต้องการของผู้ตามต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงจากระดับต่ำไปสู่ระดับที่สูงกว่า
             จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า ภาวะผู้นำคือ ความสามารถของแต่ละบุคคลในอันที่จะก่อให้เกิดกิจกรรมหรือการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่มโดยใช้การชักชวน จูงใจให้บุคคลหรือกลุ่มปฏิบัติตามความคิดเห็น ความต้องการของตนได้ด้วยความเต็มใจ และยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ดังนั้น ผู้นำ คือ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อบุคคลหรือกลุ่มในอันที่ก่อให้เกิดการกระทำกิจกรรม หรือการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม
             ผู้บริหารในฐานะผู้นำขององค์กรจะต้องมีภาวะผู้นำ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อความสำเร็จขององค์กร เพราะเป็นบุคคลที่ตัดสินใจว่าควรทำอะไร และเป็นผู้นำสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ เหตุผลที่ผู้นำสำคัญกว่าวัฒนธรรมขององค์กรและเครื่องมือการจัดการ เพราะผู้นำเป็นผู้สร้างวัฒนธรรม วัฒนธรรมที่ดีขององค์กรไม่สามารถเกิดขึ้นหรือหล่อหลอมตนเองได้ แต่ต้องอาศัยผู้นำสร้างขึ้นมา (ทิชี่ , 2542, หน้า35-36)           
             ผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำ (leadership) จะช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ขององค์กรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยคือ (1) ช่วยให้บุคลากรขององค์กรได้รับการประสานงาน และแนะนำการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด (2) ช่วยรักษาสถานภาพขององค์กรให้มรความมั่นคง โดยการปรับเปลี่ยนหรือปรับตัวตามเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม (3) ช่วยประสานฝ่ายต่าง ๆ ขององค์กรให้ดำเนินการได้ตามลักษณะพลวัตภายในองค์กร โดยเฉพาะใจช่วงที่องค์กรอยู่ในระหว่างการพัฒนาการเปลี่ยนแปลง ช่วยแก้ไขความขัดแย้งระหว่างส่วนต่าง ๆ และ (4) ช่วยให้บุคลากรในองค์กรบรรลุถึงความต้องการต่าง ๆ ทั้งในด้านความพึงพอใจและเป้าหมายส่วนบุคคล โดยจะเป็นผู้ที่ชักชวน จูงใจให้ผู้ร่วมงานมีความยินดี และมีความเต็มใจที่จะร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย (Steers, 1977 p. 142)
             ทฤษฎีภาวะผู้นำภายใต้การศึกษาความเป็นผู้นำ โดยทั่วไปทฤษฎีความเป็นผู้นำจะมุ่งที่เป้าหมายอย่างเดียวกันคือ การระบุองค์ประกอบหรือปัจจัยที่ทำให้ผู้นำมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการศึกษาความเป็นผู้นำที่สำคัญสามอย่างที่ถูกนำเสนอ คือ (1) ทฤษฎีคุณลักษณะ (2) ทฤษฎีเชิงพฤติกรรม และ (3) ทฤษฎีเชิงสถานการณ์ วิธีการศึกษาแต่ละอย่างจะมีแนวทางที่แตกต่างกันต่อการทำความเข้าใจการคาดคะเนความสำเร็จของการเป็นผู้นำและการพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำที่กำลังได้รับความสนใจในช่างเวลานี้ คือ  ความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป (transformation leadership) (สมยศ นาวีการ, 2540 หน้า 159) ซึ่งเป็นแนวคิดของ เจมส์ แมคเกรเกอร์ เบอร์นส์ (Burns) และเป็นผู้บัญญัติคำว่า ‘‘transformation leadership’’ ได้รับรางวัลพูลิทเซอร์แห่งปี 1978 ( ทิชี่ , 2542, คำนำ) ‘‘transformation leadership’’ เป็นแนวความคิดที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายจนได้ถูกนำไปกล่าวถึงในหนังสือหลายเล่ม และได้รับการแปลในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ ‘‘ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง’’  ‘‘ภาวะผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง’’ ‘‘ความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป’’ เป็นต้น

บรรณานุกรม

ประพันธ์ ผาสุกยืด. (2541). ทางเลือก ทางรอด. กรุงเทพมหานคร: เอเอาร์ อินฟอร์เมชั่น แอนด์ พับบลิเคชั่น.

ทิชี่.โนเอล เอ็ม. (2542). กลไกสร้างภาวะผู้นำ (ทรงวิทย์ เขมเศรษฐ์ แปล). กรุงเทพมหานคร: พิมพ์ดี.

ธร สุนทรายุทธ, (ม,ป,ป,) หลักการและทฤษฎีทางบริหารการศึกษา. มหาวิทยาลัยบูรพาคณะศึกษาศาสตร์.

สมยศ นาวีการ. (2540). การบริหารและพฤติกรรมองค์การ. กรุงเทพมหานคร: ผู้จัดการ

Bass.B.M. (1998). Transformational leadership: lndustial. Military.and edncational impact. Mahwah.NJ:Lawrence Erlbaum associates.

Hersey, P.B.,& Blanchard,K.H. ( 1982 ). MAanagement of organizational  behavior:Utilizing human resources.

Strauss,G. & Sayless,R.L. ( 1960 ). Personal:The  human problem  of  management. New York: Prentice-hall.

Tennenbaurn, R. ( 1959 ). Leadership and organization: A behavior sclence  opproach. New York: MoGraw-Hill.

Yuki,G.A. ( 1989 ). Leadership in organization. New york: Prentice-Hall.

เมตริกซ์ความสัมพันธ์ของคนและผลงานในองค์กร

เครื่องมือตัวหนึ่งที่อยากนำเสนอในวันนี้ก็คือ การวิเคราะห์องค์กรโดยใช้แผนผังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผลการปฏิบัติงานและความสัมพันธ์ของบุคคลในองค์กร เป็นวิธีง่าย ๆ ในการวิเคราะห์พฤติกรรมองค์กรว่ามีลักษณะเป็นแบบไหน โดยพิจารณาจากปัจจัยตัวแปรสองตัว คือ ผลงานของบุคคล และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ว่า ผลงานโดยรวมของคนทำงานในองค์กรสูงหรือต่ำ และความสัมพันธ์ของบุคลากรเป็นอย่างไร มีสัมพันธภาพที่ดีหรือไม่ดี เมื่อเรานำคู่อันดับของผลงานและความสัมพันธ์มาพล็อตลงในแผนผังเมตริกซ์ได้อย่างคร่าว ๆ แล้ว ก็จะสามารถบ่งบอกได้เบื้องต้นว่า องค์กรของเรามีลักษณะเป็นแบบไหน ใน 4 ประการ ต่อไปนี้
ช่องที่ 1 High Performance – Good Relationship เป็นองค์กรแบบ “งานได้ผล คนได้ใจ”
ช่องที่ 2 High Performance – ฺBad Relationship เป็นองค์กรแบบ “งานได้ผล คนเสียหาย”
ช่องที่ 3 Low Performance – ฺBad Relationship เป็นองค์กรแบบ “งานไม่ได้ผล คนแตกแยก”
ช่องที่ 4 Low Performance – ฺGood Relationship เป็นองค์กรแบบ “งานไม่ได้ผล คนรวมหัว”
เราลองมาทำความเข้าใจกันดูว่าองค์กรในแบบ 4 ลักษณะที่ว่านั้นเป็นอย่างไร
1. งานได้ผล คนได้ใจ – องค์กรมีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับสูง แและคนในองค์กรมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เป็นองค์กรที่สามารถรักษาสมดุลของงานและบรรยากาศในการทำงานที่ดีเอาไว้ได้ เพื่อนร่วมงาน หัวหน้าลูกน้อง รักใคร่กลมเกลียวกันดี มีความสนิทสนมส่วนตัวช่วยเหลือกันดีถึงแม้ไม่ใช่เรื่องงาน อยู่กันแบบพี่ ๆ น้อง ๆ  ความสำเร็จของงานจะมาจากความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ติดต่อประสานงานกันได้อย่างราบรื่น เมื่อมีปัญหาก็ช่วยกันแก้ไข องค์กรลักษณะนี้ พนักงานจะมีความผูกพันจงรักภักดีค่อนข้างสูง เพราะผลงานดี และไม่มีปัญหากับผู้ร่วมงาน
2. งานได้ผล คนเสียหาย – องค์กรมีผลการดำเนินงานดีอยู่จริง แต่ผลงานที่ดีจะมาจากการแข่งขัน ไม่ใช่ความร่วมมือ เพราะบุคลากรเก่งแต่ขาดทีมเวิร์ค และงานค่อนข้างจะโหลด คนทำงานค่อนข้างยุ่ง ต่างคนต่างทำหน้าที่ตามเป้าหมาย KPI จนไม่มีเวลามาเสวนากับผู้อื่น ทั้งทีมงานและครอบครัว ทำให้ชีวิตส่วนตัวเสียหาย ขาดสมดุลทางด้าน work-life balance ผลงานดี แต่ไม่มีความสุข ต้องเหนื่อย ใช้แรงเยอะ ที่ทำงานมีแต่คู่แข่ง ไม่ค่อยมีพันธมิตร ขาดการสนับสนุนซึ่งกันและกันการเติบโตก้าวหน้าจะมาจากการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น องค์กรจะประสบชัยชนะในระยะสั้น แต่ในระยะยาว คนจะไม่ค่อยมีความผูกพันและหาลู่ทางไปทำงานที่อื่น
3. งานไม่ได้ผล คนแตกแยก – องค์กรมีผลการดำเนินงานค่อนข้างต่ำ ส่วนคนทำงานไม่ค่อยสามัคคีักัน อยู่กันแบบ ต่างคน ต่างอยู่ ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับการประสานงานข้ามแผนก ส่วนแผนกเดียวกัน ก็จะมีคดีแทงข้างหลัง ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน ปัญหาและอุปสรรคขององค์กรมักไม่ได้รับการแก้ไข เป็นเรื่องยากที่จะผลักดันเรื่ิองใดเรื่องหนึ่งให้ประสบความสำเร็จ คนทำงานจะใช้เวลาในชั่วโมงทำงานส่วนหนึ่งทำงาน อีกส่วนหนึ่งหางาน อัตราการลาออกสูง แต่ความสามารถในการดึงดูดรักษาบุคลากรต่ำ

4. งานไม่ได้ผล คนรวมหัว – องค์กรมีผลการดำเนินงานต่ำ ทั้ง ๆ ที่คนทำงานก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันแน่นแฟ้นดี แต่ข้อเท็จจริงก็คือ คนกลุ่มนี้รวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง และมีข้อเรียกร้องเงื่อนไขต่าง ๆ มากมาย ไม่ได้มุ่งเน้นที่ผลประโยชน์และความสำเร็จขององค์กรเป็นหลัก แต่มุ่งเน้นหาผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก เมื่อองค์กรต้องการจะเคี่ยวเข็ญเรื่องอะไรก็ตามก็มักจะได้รับข้ออ้างต่าง ๆ นานา ว่าทำไม่ได้ และจะต้องใส่งบประมาณทรัพยากรลงไปมากกว่าปกติ เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนกลับมาบ้างเพียงเล็กน้อย ไม่ค่อยคุ้มค่ากับที่ลงทุนสักเท่าไหร่ แต่คนทำงานก็อยากจะอยู่กับองค์กรไปนาน ๆ เพราะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ยิ่งอยู่ยิ่งเก๋า ยิ่งมีอิทธิพลสูง และที่สำคัญถ้าออกไปที่อื่น ก็ไม่มีใครจ้าง เพราะทำงานได้ไม่คุ้มค่าตัว

from...http://humanrevod.wordpress.com/2012/04/27/performance-relationship-map/

ปัจจัยที่จะยกระดับขีดความสามารถเืพื่อการเติบโตของผู้ประกอบการอาเซียน

ผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียนทุก ๆ ประเทศจะต้องเจอโจทย์เดียวกันในปี 2015 เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC
ซึ่งแต่ละประเทศต่างก็พยายามส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการภายในประเทศให้มีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับ
โอกาสและอุปสรรคในการค้าระหว่างประเทศและปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค
สำหรับสิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นปัจจัยที่ใช้ในการขับเคลื่อนและยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการในอาเซียน ซึ่งถ้าหาก
กิจการรายใดมีองค์ประกอบเหล่านี้ เป็นส่วนผสมที่ลงตัวในการประกอบกิจการก็น่าที่จะสร้างความเติบโตให้กับสังคมเศรษฐกิจใน
ภูมิภาคนี้ได้อย่างมีพัฒนาการที่โดดเด่น
ปัจจัยที่จะใช้ขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ที่อยากจะำนำเสนอมีดังนี้
1. Innovation – นวัตกรรมที่มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่น และการนำทรัพยากรที่ยังไม่ได้นำมาใช้มาสร้างคุณค่าเพิ่มด้วยไอเดียดี ๆ
2. Skill Building – การสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานข้ามภาษา เชื้อชาติและวัฒนธรรม โดยเฉพาะทักษะในสาขาวิชาชีพที่เร่งด่วน หรือขาดแคลน
3. Talent Mobility – การเคลื่อนย้ายคนทำงานเก่ง ๆ ในภูมิภาค ธรรมชาติของการไหลของคนเก่งจะไหลจากที่ต่ำไปที่สูง (การเติบโตก้าวหน้า ท้าทายฝีมือ)
4. Entrepreneurship – ความเป็นผู้ประกอบการ กิจการต้องพยายามใส่จิตวิญญาณความเป็นเจ้าของและมีหัวการค้าของเถ้าแก่เข้าไปในตัวลูกจ้างให้ได้
5. Local Customer Insight = Localization – ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบของสินค้าและบริการที่เข้าใจหัวอกผู้บริโภคในท้องถิ่น
6. Neighborhood Partnership – ความสะดวกรวดเร็วอันเนื่องมาจากการมีพันธมิตรเพื่อนบ้าน ที่จะช่วยให้การระบบโลจิสติกส์ไหลลื่นและการทำธุรกรรมไม่ติดขัด
7.Culture Branding – การสร้างแบรนด์อันมีพื้นฐานมาจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ซึ่งรวมตัวเป็นกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีเรื่องเล่าดี ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เชิงประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ซึ่งจะต่อยอดไปสู่การมีตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ที่แตกต่างและเป็นที่น่าจดจำ
8. Social Contribution – การตอบแทนแก่สังคม ธุรกิจของเราไม่ได้เข้าตลาดอาเซียนเพื่อหวังจะกอบโกย หรือรุกรานเพื่อนบ้าน หากแต่มีวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนาอะไรดี ๆ สักอย่างให้แก่สังคมเศรษฐกิจของภูมิภาค  ช่วยกันเปลี่ยนทัศนคติต่อกันจากคู่แ่ข่งเป็นคู่ค้า จับมือกันไปตีตลาดโลก หากใครจะเชื่อมโยงแนวคิดนี้กับเรื่อง marketing 3.0 ก็ได้ไม่ว่ากัน

from....http://humanrevod.wordpress.com/2012/04/27/aec-business-growth-factors/

SWOT Analysis ของ SMEs ไทย

การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดด้อย โอกาส และอุปสรรค หรือที่รู้จักกันในสิ่งที่เรียกว่า SWOT Aalysis สำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย หรือที่เรียกว่า SME นั้น มีการวิเคราะห์ไว้โดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) ดังนี้
จุดแข็ง (strenghts)
- มีใจรักบริการ
- มีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับของตลาดต่างประเทศ อาทิ สินค้าที่แสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทย สินค้าหัตถศิลป์ หัตถกรรม
- มีทักษะทางด้านการใช้แรงงานที่ต้องเน้นความประณีตและแสดงถึงวัฒนธรรม
- แรงงานมีฝีมือเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
จุดด้อย (weakness)
- ด้านการสื่อสารภาษาต่างประเทศกับประเทศคู่ค้า
- เงินทุน
- ยึดการดำเนินธุรกิจแบบครอบครัว ไม่มีมาตรฐานและรูปแบบการบริหารงานแบบสากล
- ทำการค้าโดยยึดสายสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น ระบบเส้นสาย
- ความกระตือรือร้นในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ
- ธุรกิจไม่ยั่งยืนเพราะขาดการให้ความสำคัญด้าน csr และจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ
- ขาดการรวมกลุ่ม ยังมองว่าผู้ที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันเป็นคู่แข่งมากกว่าพันธมิตร
- ขาดการศึกษาด้านการตลาด และวัฒนธรรม พฤติกรรมของผู้บริโภคและกลุ่มเป้าหมายของประเทศคู่ค้า
- ขาดการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- ไม่ให้ความสำคัญในการนำนวัตกรรมมาใช้กับธุรกิจ
โอกาส (oppertunities)
- การสนับสนุนจากหน่วยงานสนับสนุนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
- ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศเป็นจุดศูนย์กลางในการดำเนินการทางธุรกิจและการขนส่ง
- มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
- วิถีของโลกที่ยอมรับวัฒนธรรม งานฝีมือ และสิ่งประดิษฐ์ของคนไทย
- กระแสการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และยอมรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ
- ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนสามารถเอื้อประโยชน์ต่อ sme ให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง และสามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภัยคุกคาม (Threats)
- ปัญหาการคอรัปชั่นภายในประเทศ
- สาธารณูปโภคที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจไม่เพียงพอ เช่น ถนน มาตรการในการให้ประโยชน์ต่อ sme และกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ไม่เกื้อหนุน sme
- เสถียรภาพทางการเมือง
- ความผันผวนทางเศรษฐกิจ
- ภัยธรรมชาติ


from...http://humanrevod.wordpress.com/2012/04/19/swot-analysis-sme-thailand/

ปัญหาและอุปสรรคของSMEไทยในการเข้าสู่ตลาดอาเซียน

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ที่จะมาถึงในปี 2558 สร้างความตื่นตัวให้กับแวดวงเศรษฐกิจในภูมิภาคเป็นอย่างมาก จากการที่มีผลสำรวจออกมาว่าประเทศไทยมีการรับรู้เรื่องการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนน้อยมาก อยู่ในอันดับ 9 จากทั้งหมด 10 ประเทศ ทำให้ปีนี้ภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ออกมากระตุ้นและส่งเสริมด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ให้ผู้ประกอบการ ของไทยมีความพร้อมที่จะรับมือการเปลี่ยนแปลงและก้าวเข้าสู่ตลาดอาเซียนได้อย่างแข็งขันทั้งเชิงรุกและรับ สำหรับปัญหาและอุปสรรคของ SME ไทยในการเข้าสู่ตลาด AEC นั้นพอจะสรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
1. SME ไทย และประชาชนทั่วไป ยังขาดความตระหนักรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
2. SME ไทย ขาดข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ธุรกิจ และขาดศูนย์ข้อมูลกลางในการจัดเก็บองค์ความรู้เกี่ยวกับตลาด อาเซียนและข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็น
3. SME ไทย ขาดโดยการในการเจาะตลาดต่างประเทศ
4. SME ไทย ขาดทักษะด้านภาษาและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
5. SME ไทย ขาดการรวมกลุ่มอุตสาหกรรมหรือคลัสเตอร์ (cluster)
6. SME ไทย ขาดการสร้างตราสินค้าให้เป็นที่จดจำและความจงรักภักดีต่อตราสินค้า
7. SME ไทย ขาดการส่งเสริมเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจ
8. วัฒนธรรมท้องถิ่นที่แตกต่างกัน
9. การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME
10. ความยากลำบากในการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค

from...http://humanrevod.wordpress.com/2012/04/17/sme-thai-challenge-aec/

สมรรถนะ 6 ตัว สำหรับ HR ยุคใหม่

RBL Group ได้ทำการประเมินผลครั้งล่าสุด จากกรณีศึกษาสมรรถนะด้านทรัพยากรมนุษย์หรือ Human Resource Competency Study (HRCS) พบว่า สมรรถนะที่สำคัญที่สุด 6 ตัว สำหรับ HR มืออาชีพ ได้แก่
1. Credible Activist: นักกิจกรรมที่น่าเชื่อถือ
HR จะต้องสร้างความน่าเชื่อถือจากการรักษาคำมั่นสัญญา สร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่ไว้วางใจได้
2. Capability Builder: ผู้สร้างขีดความสามารถ
HR มืออาชีพจะต้องสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งด้วยการสร้างสมรรถนะของคนให้เป็นขีดความสามารถขององค์กร
3. Technology Proponent: ผู้นำเสนอเทคโนโลยี
HR มืออาชีพจะต้องใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือจัดระบบด้านธุรการงานบุคคลและใช้เชื่อมโยงระหว่างพนักงานในองค์กร
4.Strategic Positioner: ผู้วางตำแหน่งกลยุทธ์
HR มืออาชีพจะสามารถวิเคราะห์ปัจจัยภายในภายนอกของกิจการและแปลมาเป็นการลงมือเชิงกลยุทธ์ได้
5. HR Innovator and Integrator: บูรณากรและนวัตกรด้านงานบุคคล
HR มืออาชีพจะต้องสามารถสร้างนวัตกรรมด้วยการบูรณาการองค์ประกอบต่าง ๆ มาแก้ไขปัญหาขององค์กร
6. Change Champion: แชมป์เปี้ยนแห่งการเปลี่ยนแปลง
HR มืออาชีพจะต้องสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริงทั้งในระดับองค์กรและระดับบุคคล

from....http://humanrevod.wordpress.com/2012/04/24/6-competencies-for-hr/

กุญแจสำคัญสู่ภาวะผู้นำในองค์กร

ภาวะผู้นำในองค์กรมีความสำคัญและจำเป็นที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้ แม้ในช่วงภาวะวิกฤติ
หรือสถานการณ์ที่ยากลำบาก ภาวะผู้นำจะมีส่วนช่วยอย่างมากที่จะประคับประคององค์กรให้ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ
ไปได้อย่างไม่เสียหายนัก กุญแจสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างภาวะผู้นำในองค์กรให้มีความต่อเนื่อง มีดังต่อไปนี้
  1. เปิดกว้างในการรับความคิดใหม่ มีแนวทางการปฏิบัติดังนี้
    1. ส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากความเชี่ยวชาญของตนเอง
    2. ไอเดียที่มาจากผู้นำในสาขาย่อยมีแนวโน้มจะถูกนำมาปรับใช้ในสำนักงานใหญ่
    3. ผู้นำท้องถิ่นได้รับการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำนักงานใหญ่
  2. อำนาจหน้าที่และการมอบอำนาจ มีแนวทางปฏิบัติดังนี้
    1. ให้การคาดหวังว่าพนักงานจะแสดงบทบาทผู้นำถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
    2. ผู้นำในสาขาย่อยมีอำนาจตัดสินใจในเรื่องการทำงานที่สำคัญในท้องถิ่น
  3. คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม มีแนวทางปฏิบัติดังนี้
    1. รับสมัครงานจากคนต่างวัฒนธรรม
    2. ใช้ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นปัจจัยในการรับคนเข้าทำงาน
    3. องค์กรมีนโยบายสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่นำมาปฏิบัติจริง
    4. ผู้นำและตัวแทนการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ริเริ่มการเปลี่ยนแปลงไปสู่มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้น
  4. การวางแผนสืบทอดตำแหน่งอย่างยั่งยืน มีแนวทางปฏิบัติดังนี้
    1. ดึงดูดและพัฒนาผู้นำ โดยมีระบบการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว (Fast-track promotions)
    2. วางตำแหน่งตัวตายตัวแทนของตำแหน่งที่สำคัญไว้อย่างดี
    3. จัดการผู้สืบทอดตำแหน่งด้วยการมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญ
    4. ให้คนในเป็นผู้นำในอนาคตมากกว่าที่จะให้คนนอก
การเตรียมความพร้อมเพื่อรักษาภาวะผู้นำให้มีความต่อเนื่องและยั่งยืน จะช่วยให้องค์กรพร้อมที่จะแข่งขันในปัจจุบัน
ที่ตลาดโลกมีความซับซ้อน
และความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น


from....http://humanrevod.wordpress.com/2011/07/20/key-leadership-organization/

Management Skills VS Leadership Skills

ภาวะผู้นำกับการเป็นผู้บริหารที่ดี

การบริหารเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนและงาน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการบริหารงานดังนั้นจึงต้องใช้การปกครองอย่างมีศิลปะ เพื่อให้สามารถครองใจคนและได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพเกิดคุณภาพ ถือว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้ การดูแล การจูงใจจะต้องนำก่อนทำเป็นตัวอย่างตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรให้เป็นที่ชื่นชมยินดี

ประเภทของผู้นำ


ผู้นำแบบเผด็จการ เป็นผู้นำที่มีความเด็ดขาดในตัวเองถือเรื่องระเบียบวินัย กฏเกณฑ์ข้อบังคับเป็นหลัก ในการดำเนินงานการตัดสินใจต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับผู้นำแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ในแง่การบริหารงานทางด้านวิชาการด้านธุรกิจจะเปรียบเสมือนกิจการที่เป็นเจ้าของบุคคลเดียว ที่มีการดำเนินการและตัดสินใจเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการเท่านั้น


ผู้นำแบบประชาธิปไตย ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในโลกปัจจุบัน ให้สิทธิ์ในการออกความคิดเห็น สิทธิในการเรียกร้อง รวมไปถึงการเคารพสิทธิของผู้อื่นด้วยการเป็นประชาธิปไตยจึงเป็นลักษณะหนึ่งที่สังคมค่อนข้างจะยอมรับกันมากกว่าผู้นำประเภทอื่น ๆ


ผู้นำแบบตามสบาย เป็นผู้นำที่ไปเรื่อย ๆ มีความอ่อนไหวไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผู้นำที่เป็นที่รักของผู้ร่วมงานอย่างมาก ผู้นำประเภทนี้จึงมีมากมายตามแต่ละกิจกรรมต่าง ๆ บางครั้งอาจมองว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง หรือมองโลกในแง่ดีซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขยันอาจจะไม่ชอบลักษณะผู้นำประเภทนี้

ในทางปฏิบัติบางแห่งในตัวผู้นำอาจจะมีรูปแบบของการเป็นผู้นำทั้ง 2 ประเภทในคนเดียว อาจจะมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นออกมาแต่ละประเภท ซึ่งสามารถควบคุมการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ลักษณะการใช้อำนาจของผู้นำแตกต่างกันออกไป เพราะในตัวผู้นำแต่ละคนมีอำนาจมีอิทธิพล สามารถดำเนินการหรือสั่งการได้ตามความเหมาะสม


การใช้อำนาจของผู้บริหารแบ่งได้ดังนี้
การใช้อำนาจเด็ดขาด อาจจะเป็นในวงการทหารหรือตำรวจ จะเห็นได้อย่างเด่นชัดซึ่งจำเป็นจะต้องมีความเด็ดขาดในการสั่งการ เพราะทหาร ตำรวจ จะต้องมีวินัยในการปกครองซึ่งกันและกัน บรรดาตำรวจที่มีอาวุธอยู่ในมือด้วยแล้ว หากขาดวินัยก็จะเสมือนกับกองโจรที่สามารถกระทำผิดได้ตลอดเวลา


การใช้อำนาจอย่างมีศิลปะ ผู้นำโดยทั่วไปเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความอดทนรวมไปถึงประสบการณ์ในการบังคับบัญชาคน หากการทำงานโดยเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วผลงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นที่ยอมรับของคนโดยทั่วไป


การใช้อำนาจด้วยวิธีการปรึกษาหารือ เป็นลักษณะของการใช้อำนาจวิธีการหนึ่งซึ่งใช้กันอย่างมากมาย เพราะผู้บริหารที่เปิดใจกว้างย่อมได้รับการยอมรับของผู้ร่วมงานด้วยกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการสอนงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาในลักษณะการใช้อำนาจด้วยวิธีการปรึกษาหารือ


การใช้อำนาจแบบมีส่วนร่วม บางคนอาจจะบอกว่าการใช้อำนาจแบบมีส่วนร่วมถือเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเนื่องจากผู้บริหารเปิดใจกว้าง ผลผลิตที่ได้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดแต่จะต้องขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของแต่ละคน ในทางทฤษฎีแล้ว การใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมรวมถึงลักษณะของการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมนั้น ๆ


หน้าที่ของผู้นำแบ่งออกได้ดังนี้
ลักษณะของการควบคุม คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ใครมาควบคุม แต่ในทางปฏิบัติงานแล้ว การควบคุมอยู่ห่าง ๆ จะได้ผลดีตามมาในลักษณะของการติดตามผลงานอาจจะใช้การควบคุมด้วยระบบเอกสาร ระบบของงานที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันหรือเป็นการควบคุมในระบบด้วยตัวของมันเองอย่างอัตโนมัติ


ลักษณะของการตรวจตรา เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้นำหรือผู้บริหารที่จะต้องติดตามความเคลื่อนไหวหรือผลการดำเนินงานตามขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถแก้ไขในเหตุการณ์นั้น ๆ ได้ทันการ


ลักษณะของการประสานงาน การประสานงานของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งการประสานงานในเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานถือว่าเป็นความจำเป็นและสำคัญอย่างมากในการปฏิบัติงาน


ลักษณะของการวินิจฉัยสั่งการ การสั่งการของผู้นำถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะผู้นำที่ดีจะรู้จักการใช้คนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การวินิจฉัยสั่งการที่ดีนั้นจะต้องมีความชัดเจนสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที


ลักษณะของการโน้มน้าวให้ทำงาน ผู้นำมีหน้าที่หลักอย่างหนึ่งคือการชักชวนให้สมาชิกมีความสนใจในการปฏิบัติงานหน้าที่การงานด้วยความตั้งใจ มีความซื่อสัตย์สุจริต และเต็มใจที่จะทำงานนั้น ๆ ให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากที่สุด


ลักษณะของการประเมินผลงาน การพิจารณาความดีความชอบตลอดระยะเวลาการทำงานของพนักงานถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่ง เป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงาน การประเมินผลการปฏิบัติงานที่ดีควรกระทำเป็นระยะ ๆ และสามารถแจ้งผลให้ผู้ที่ถูกประเมินได้ทราบเพื่อจะได้แก้ไขในโอกาสต่อไป หากสามารถประเมินผลงานได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมแล้ว ปัญหาด้านการบริหารงานบุคคลย่อมลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน


คุณสมบัติที่ดีของผู้นำ
มีความรู้ ความสามารถ การใช้สติปัญญานั้น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ เมื่อมีสติปัญญาดีก็เกิด


เป็นผู้มีสังคมดี คำว่าสังคมดีคือจะต้องมีลักษณะของการเป็นผู้นำที่มีอารมณ์มั่นคงมีวุฒิภาวะ มีความเชื่อมั่นในตนเองมีความสนใจและใช้กิจกรรมต่าง ๆ อย่างกว้างขวางเพื่อประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน


เป็นผู้ที่มีแรงกระตุ้นภายใน คือมีจิตสำนึกเกิดขึ้นในตัวของผู้นำ เป็นแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ต่อแรงจูงใจที่จะโน้มน้าวให้ผู้ปฏิบัติงานมีความปรารถนาที่จะทำงานตรงนั้นให้เกิดความสำเร็จ


เป็นผู้ที่มีทัศนคติที่ดีและมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีผู้นำจะต้องตระหนักในคุณค่าและศักดิ์ศรีของตัวเอง ของลูกน้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน มองโลกในแง่ดีในการที่จะทำให้กิจการต่าง ๆ ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย


ลักษณะของผู้นำที่จะทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
ต้องเป็นนักเผด็จการ หมายถึงผู้บริหารสามารถจะสั่งการได้อย่างเด็ดขาด ผลผลิตที่ได้มาส่วนใหญ่จะมาด้วยปริมาณ ส่วนเรื่องคุณภาพที่จะดีในช่วงแรก ๆ หากผู้นำสามารถสอดส่องดูแลอยู่ตลอดเวลา ผลผลิตก็อาจจะมีทั้งปริมาณและคุณภาพที่ดีตามไปด้วย


ต้องเป็นนักพัฒนา ผู้นำประเภทนี้จะต้องมีผู้ร่วมงานที่รู้ใจ สามารถสร้างสรรงานใหม่ ๆ ตลอดเวลา


ต้องเป็นนักบริหาร ผู้นำประเภทนี้จะใช้การทำงานด้วยวิธีใหม่ ๆ เปิดโอกาสให้สมาชิกได้ร่วมแสดงความคิดเห็นแม้กระทั่งในการวางนโยบายต่าง ๆ การทำงานโดยทั่วไปจึงเป็นไปในลักษณะประชาธิปไตย ผู้ร่วมงานจะต้องเป็นผู้มีคุณภาพเพียงพอ สามารถตอบสนองการทำงานในระบบใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี


ต้องเป็นนักเผด็จการอย่างมีศิลปะ ผู้นำประเภทนี้เป็นนักพูดที่เฉลียวฉลาด จะใช้การพูดเป็นการชักชวนให้เกิดการทำงานด้วยความเต็มใจ มีการเสนอแนะและหว่านล้อม ให้เห็นคล้อยตามไปโดยปริยาย

การบริหารงานในปัจจุบันนี้ผู้บริหารทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาวะการเป็นผู้นำเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะจะสามารถได้ใช้หรือพยายามชี้ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือพนักงานออกมาในการปฏิบัติงานให้มากที่สุด พึงระลึกไว้เสมอว่าพนักงานทุกคนมีความสำคัญอย่างมากในการปฏิบัติงาน เป็นผู้ที่ผลักดันให้งานทุกอย่างของกิจการนั้นสามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น การบริหารงานที่ดีจะต้องมีผู้บริหารที่มีภาวะ ความเป็นผู้นำและเก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งการดำเนินชีวิตไปพร้อม ๆ กัน

from....http://women.sanook.com/work/www/www_28334.php

ภาวะผู้นำ (leadership skill)

ภาวะผู้นำ (leadership skill)

ภาวะผู้นำมีความสำคัญต่อการปรับกระบวนการทำงาน เพื่อให้บรรลุประสิทธิผลขององค์กรแล้ว ผู้บริหารยังต้องให้ความสนใจต่อบุคลากรในองค์กรด้วยภาวะผู้นำนั้นถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้นำในการที่จะนำพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ ผู้บริหารต้องเป็นผู้นำในการบริหารจัดการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นหน้าที่ของผู้นำที่จะต้องให้ความมั่นใจ เพื่อการยอมรับของคนในองค์กร อันจะนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจระหว่างกัน ผู้นำจะต้องมุ่งเน้นเรื่องของการสื่อความ ให้มีความชัดเจน และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การสื่อความที่ดีนั้นถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งในการสร้างพันธะสัญญา (commitment) และทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน (cooperation) ในที่สุด” (ประพนธ์ ผาสุขยืด, 2541, หน้า 91) ในการบริหารองค์กรของผู้บริหาร ย่อมต้องเผชิญความรุนแรงและความรวดเร็วทั้งกระแสของการแข่งขัน และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ดังนั้น จึงต้องอาศัยศักยภาพของตนเองและของทีมงานร่วมกัน รวมถึงความมีระบบที่ต้องดำเนินไปให้เกิดสิ่งที่ถูกต้องตลอดเวลา ความสำเร็จจึงจะเกิดขึ้นได้ โดยระบบที่ถูกต้องของแต่ละองค์กรนั้น ก็จะอยู่บนพื้นฐานของวิสัยทัศน์ (vision) คือ ต้องการจะเป็นอะไร และตั้งอยู่บนพื้นฐานของค่านิยม (value) คือ จะไปให้ถึงจุดนั้นโดยยึดอะไรเป็นหลัก ซึ่งถือว่าองค์ประกอบทั้ง 3 นี้เป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดทิศทางหรือเป้าหมายขององค์กร การมีเป้าหมายขององค์กรที่ชัดเจนตั้งแต่แรก จะสามารถประเมินผลได้ว่าผลในการดำเนินงานนั้นบรรลุประสิทธิผล (effectiveness) หรือไม่ ซึ่งเป็นกรอบความคิดใหม่ในการประเมินผลที่ผู้บริหารต้องคำนึงถึงมากกว่าที่จะมุ่งแต่ประสิทธิภาพ (efficiency) เป็นหลักอย่างเดียว ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการสร้างผลผลิตโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด ซึ่งจะเป็นการเปรียบเทียบสิ่งที่ได้ (output) กับปัจจัยนำเข้า (input) เป็นหลัก แต่ส่วนคำว่าประสิทธิผลนั้นจะมองเน้นไปที่ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ (ประพนธ์ ผาสุขยืด, 2541, หน้า 24-25)

ผู้บริหารนอกจากจะต้องตระหนักถึงเป้าหมายขององค์กรแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญต่อการปรับกระบวนการทำงาน และการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในองค์กรด้วย ภาวะผู้นำ นั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหารอู่กลางการประกันภัยในการที่จะนำองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ เพราะอู่ซ่อมรถยนต์ คือ องค์กรที่ต้องบริการโดยคำนึงถึงคุณภาพเป็นสำคัญ ดังนั้น ผู้บริหารอู่กลางต้องเป็นผู้นำในการบริหารจัดการ เพื่อการยอมรับของคนในองค์กรและของผู้ใช้บริการ ผู้นำจึงต้องมุ่งเน้นเรื่องการสื่อสารให้ชัดเจน และต้องอาศัยศักยภาพของตนเองและของทีมงานร่วมกัน โดยคำนึงการจัดระบบโครงสร้างในองค์กร ที่สำคัญ คือ การมีวิสัยทัศน์ของผู้บริหารในการกำหนดทิศทางและเป้าหมายขององค์กร การมีเป้าหมายที่ชัดเจนขององค์กรตั้งแต่แรกก็จะสามารถประเมินผลสำเร็จขององค์กรได้ นั่นหมายถึง การมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ ในเรื่องของการบริการและคุณภาพ

อย่างไรก็ตาม การศึกษาเรื่องของภาวะผู้นำ ได้มีนักคิดนักทฤษฎีได้ศึกษาค้นคว้าทั้งในอดีตที่เริ่มตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1980 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นการค้นหาองค์ประกอบหรือปัจจัยที่ทำให้ผู้นำมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน จากการศึกษาค้นคว้าสามารถระบุคุณลักษณะพฤติกรรม หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้แบบของความเป็นผู้นำแบบหนึ่ง มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าภาวะผู้นำอีกแบบหนึ่ง (สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์, 2548, หน้า 3)


บรรณานุกรม
ธีระพงศ์ ธนเจริญรัตน์. (2553). หลักสูตรการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารอู่กลางการประกันภัย. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (บริหารธุรกิจ), มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ประพนธ์ ผาสุขยืด. (2541). ทางเลือกทางรอด. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์เออาร์ อินฟอร์เมชั่น แอนด์ พับบิเคชั่น.
สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์. (2548). ภาวะผู้นำทฤษฎีและปฏิบัติ: ศาสตร์และศิลป์สู่ความเป็นผู้นำที่สมบูรณ์ (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์วิรัตน์ เอ็คดูเคชั่น.

ผู้จัดการฝ่ายบุคคล

นิยามอาชีพ

วางแผน กำกับดูแล และประสานงานด้านนโยบายเกี่ยวกับงานบุคลากรขององค์กร : กำหนดขั้นตอนและดำเนินการในเรื่องสรรหา การฝึกอบรม การเลื่อนขั้น การโยกย้าย งานสวัสดิการ โครงการเงินเดือนและค่าตอบแทน รวมทั้งกำหนด มาตรฐานตำแหน่งงาน ควบคุม ดูแลผู้ปฏิบัติงาน

ลักษณะของงานที่ทำ

ทรัพยากรบุคคล คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดขององค์กรจัดการฝ่ายบุคคล ซึ่งอยู่ในฐานะของผู้บริหารงานด้านทรัพยากรบุคคลต้องเป็นผู้ให้คำปรึกษาทั้งด้านหน้าที่ การงานและด้านธุรกิจกับพนักงานในองค์กรชักจูงใจให้พนักงานร่วมเป็นหุ้นส่วน และร่วมมือกับองค์กรในการดำเนินงานให้บรรลุนโยบายและเป้าหมายขององค์กรให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับงานขององค์กรหน้าที่ความรับผิดชอบของพนักงาน รวมทั้ง ค่าตอบแทนการทำงานและผลประโยชน์อื่นๆ ที่จะได้รับพัฒนาบุคลากรให้มี ประสิทธิภาพในการทำงานโดยใช้กระบวนการบริหารงานบุคคลซึ่งมีหน้าที่หลัก ดังต่อไปนี้

1. สรรหาและจัดจ้างบุคลากรที่มีประสิทธิภาพมากเข้ามา ทำงานโดยวิธีประกาศโฆษณาตำแหน่งว่างรับสมัคร และทำการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือก ผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติดีที่สุดเพื่อการจ้างงานโดยตรงหรือจัดส่งให้ เจ้าหน้าที่ ผู้อื่นต่อไป

2. พัฒนา ประเมินผล และปรับปรุงคุณภาพของบุคลากรให้มี ประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ในเรื่องนโยบายและ เป้าหมายขององค์กร ตลอดจนหน้าที่ความรับผิดชอบของพนักงาน

3. กำหนดค่าตอบแทนในการทำงานโดยตรงและจัดสรรผลประโยชน์โดยอ้อมให้กับบุคลากรอย่างได้มาตรฐาน เช่น การให้สิทธิ์ในการถือหุ้น

4. สร้างแรงจูงใจให้พนักงานมีจิตสำนึกของการเป็นหุ้นส่วนกับองค์กรเพื่อให้พนักงานอุทิศเวลาและความสามารถในการทำงานให้กับองค์กร อย่างเต็มที่

5. สงวนรักษาบุคลากรทุกคนที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กรตลอดไป โดยการส่งเสริมเลื่อนตำแหน่ง เลื่อนขั้น ดูแลความปลอดภัย และ สุขภาพอนามัยของพนักงาน

6. สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับพนักงานหรือลูกจ้าง และเมื่อ มีปัญหาข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาทเกิดขึ้นต้องเข้าไปหาทางระงับข้อขัดแย้ง หรือข้อพิพาทให้ยุติลงโดยเร็วที่สุดตามหลักของการแรงงานสัมพันธ์

7. จัดสวัสดิการ ดำเนินการจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคม และจัดบริการด้านสันทนาการ ตลอดจนอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้แก่พนักงาน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่พนักงานอาจดำเนินงานด้านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน

8. ดำเนินการให้พนักงานออกจากงาน โดยการเกษียณอายุ หมดสัญญาจ้าง หรือเลิกจ้างเมื่อองค์กรเผชิญสภาวะธุรกิจซบเซา หรือด้วยเหตุผลอื่นโดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายแรงงาน และหาวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยพนักงานเหล่านั้นซึ่งอาจเสนอให้กลับเข้าทำงานใหม่เมื่อองค์กรพ้นสภาวะดังกล่าวแล้ว

สภาพการจ้างงาน

ผู้จัดการฝ่ายบุคคลในรัฐวิสาหกิจจะได้รับเงินเดือนตามวุฒิ และประสบการณ์สำหรับองค์กรเอกชนขนาดเล็กต้องเป็นผู้มีประสบการณ์จากเจ้าหน้าที่บุคคลอย่างน้อยประมาณ 3 - 5 ปีจะได้รับเงินเดือนขั้นต้นตามความสามารถ ประสบการณ์ประมาณเดือนละ 35,000 - 45,000 บาท ใน องค์กรขนาดกลางอาจมีประสบการณ์การทำงานประมาณ 5-10 ปีจะได้รับเงินเดือนประมาณ 70,000 - 90,000 บาท และใน องค์กรขนาดใหญ่ต้องการผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่มีประสบการณ์ 10 ปีขึ้นไปจะได้รับเงินเดือนประมาณ 90,000 -150,000 บาท

ผู้จัดการฝ่ายบุคคลโดยปกติทำงานวันละ 8 - 9 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40 - 48 ชั่วโมง แต่อาจจะต้องทำงานมากกว่าเวลาทำงานปกติ เมื่อมีงานหรือปัญหาที่ต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน และได้รับผลตอบแทนอย่างอื่นตามกฎระเบียบขององค์กร

สภาพการทำงาน

ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานเป็นส่วนใหญ่ มีระบบข้อมูล และเครือข่ายในการเก็บข้อมูลของพนักงานด้วยเทคโนโลยีที่ ทันสมัย และอาจต้องเดินทางออกไปตรวจเยี่ยมพนักงานในหน่วยงานภายใต้เครือข่ายขององค์กรทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา คือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล หรือฝ่าย อบรมอาจทำงานร่วมกับคนหลายเชื้อชาติในกรณีที่เป็นองค์กรนานาชาติ และอาจต้องใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสารภายในองค์กร

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ

คุณสมบัติทั่วไป ของผู้จัดการฝ่ายบุคคลควรมีลักษณะของผู้บริหารที่แตกต่างกว่าผู้บริหารอื่นๆและไม่ควรยึดติดกับการบริหารแบบ"ผู้จัดการ" ในสมัยก่อน เพราะการที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลต้องมีทัศนคติให้ทันกับยุคโลกาภิวัตน์ สามารถทำงานร่วมกับบุคคลที่มาจากพื้นฐานและเชื้อชาติต่างกันเป็นผู้นำที่มีส่วนร่วมกับทีมงานทุกชาติ ทุกภาษา ได้มีความสามารถในการมองการณ์ไกลหรือมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความเป็นผู้นำที่สามารถอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนแปลง องค์กร มีลักษณะเป็นผู้ประสานงานที่มีประสิทธิภาพเป็นนักต่อรองและแก้ไขปัญหาแบบร่วมมือ และสร้างสรรค์ เข้าใจวัฒนธรรมขององค์กรของชาติตนเองอย่างลึกซึ้ง และ เข้าใจวัฒนธรรมของชาติอื่นและองค์กรเป็นอย่างดี ส่วนคุณสมบัติทั่วไปที่จำเป็นต้องมีในตัวผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีดังนี้

1. เป็นผู้นำและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เพื่อนร่วมองค์กรสามารถจูงใจพนักงานให้อุทิศและทุ่มเทการทำงานให้กับองค์กรได้

2. มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้ากระจายอำนาจ และวินิจฉัยสั่งการและพร้อมที่จะรับผิดชอบ

3. มีความรอบคอบในการพิจารณาและวินิจฉัยการปฏิบัติงาน

4. ซื่อสัตย์ สุจริต และยุติธรรม

5. มีมนุษยสัมพันธ์ดีเข้ากับคนที่มีพื้นฐานที่มาแตกต่างได้เป็นที่ไว้วางใจและน่าเชื่อถือกับบุคคลทุกฝ่ายทั้งในและนอกองค์กร

6. ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

7. เป็นผู้ที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญในการแก้ไขอุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กรให้มาเป็นการร่วมมือกัน

8. เป็นผู้ที่สามารถทำให้พนักงานเชื่อถือและศรัทธาในปรัชญาองค์กรให้เป็นวัฒนธรรมขององค์กรไม่ว่าจะเป็นองค์กรในภาครัฐบาล องค์กรธุรกิจหรือองค์กรที่ไม่มุ่งหวังผลกำไรจะต้องมีความเชื่อว่างาน และบทบาทของ องค์กรเป็นงานและบทบาทที่สำคัญที่สุดของสังคมเท่าๆ กับรากฐานของสังคมอื่นๆ เพื่อความสำเร็จในการดำเนินงานขององค์กร ( Peter Drucker )

9. มีความเข้าใจภาษาต่างประเทศ เป็นอย่างดี

10. มีประสบการณ์ด้านการบริหารงานบุคคลอย่างน้อยตั้งแต่ 3-5 ปี

ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : ควรมีวุฒิการศึกษาตามข้อกำหนดของผู้จัดการฝ่ายบุคคล หรืออาจสำเร็จการศึกษาระดับ ปริญญาตรีถึงปริญญาโทในสาขาการบริหารทรัพยากรบุคคล สาขาวิทยาการ การจัดการ สาขานิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง

โอกาสในการมีงานทำ

ปัจจุบัน งานบริหารทางด้านทรัพยากรบุคคลเป็นงานที่มีกระแสการเปลี่ยนรูปแบบตามการบริหารองค์กรในยุคโลกาภิวัฒน์ หรือยุคเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิตอล หรือเศรษฐกิจใหม่เกือบสิ้นเชิง จึงมีองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทางด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทำให้มีการสรรหา และจัดจ้างเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารงานบุคคลทุกระดับที่มีความเข้าใจในธุรกิจของการวางแผนกลยุทธ์ด้านการบริหารงานบุคคล ที่มีวิสัยทัศน์ในการวางกลยุทธ์ด้านบุคลากรระดับโลกนำมาผสมผสานกับความสามารถของบุคลากรท้องถิ่นได้ เพื่อให้เกิดความร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลอย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับองค์กร นอกจากนี้แล้วองค์กรธุรกิจยังต้องการผู้ที่มีความรู้หลากหลาย เป็นนักวิเคราะห์สถานการณ์ และเป็นนักคาดการณ์แนวโน้มการใช้ทรัพยากร เป็นผู้ที่มีความยืดหยุ่นสูง พร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้งานจากหน่วยงานข้ามองค์กร และมีความเข้าใจวัฒนธรรม และธุรกิจขององค์กร ดังนั้นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กล่าวมาแล้วจึงเป็นที่ต้องการขององค์กรธุรกิจ

โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ

ผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่มีความสามารถ และขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมรวมทั้งมีวิสัยทัศน์กว้างไกลจะเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ กรรมการผู้บริหาร สำหรับผู้ที่มีความสามารถในการบริหารงานด้านนี้ คือผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้องค์กรดำเนินธุรกิจไปได้อย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลจึงเป็นทรัพยาบุคคลที่มีค่าขององค์กรเช่นกันและองค์กรต้องการให้บุคลากรเช่นนี้บริหารงานจนกว่าจะเกษียณงาน อาชีพนี้จึงเป็นอาชีพค่อนข้างมั่นคงและหรืออาจได้รับการเสนอเงื่อนไขที่ดีกว่าจากองค์กรธุรกิจอื่น ๆ ให้ไปร่วมบริหารงานด้วย

อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ผู้จัดการฝ่ายอบรม

แหล่งข้อมูลอื่นๆ การประกาศโฆษณาจัดหางานในหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์บริการจัดหางานเอกชน การจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย)

สมาคมการบริหารงานบุคคลแห่งประเทศไทย

จาก Eduzones Elibrary, สารานุกรมฟรี

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทรัพยากรมนุษย์ องค์ความรู้ของ CEO



ที่มา..http://www.youtube.com/watch?v=iYXfQDI1FgQ&feature=relmfu

รูปแบบ Super Resume



ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=9IrwRdM2RXg&feature=relmfu

อ่านทะลุจุดเด่นคน



ที่มา..http://www.youtube.com/watch?v=kBStZMRlqfU

บริหารพนักงานอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ


การบริหารพนักงานนั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนให้บริษัทไปสู่ความสำเร็จ แต่จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้การบริหารบุคลากรประสบผลสำเร็จ และนำพาองค์กรไปสู่ความก้าวหน้าได้
  • สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับพนักงาน
    ในการบริหารบุคคลให้ประสบความสำเร็จนั้น หัวหน้างานและลูกน้องต้องมีความใกล้ชิดกันมากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดกับพนักงานได้ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
    การสื่อสารไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบการพูด หรือการเขียนต้องทำให้เกิดประสิทธิภาพให้มากที่สุด เพราะการสื่อสารที่ดีเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้หัวหน้างานและลูกน้องมีความเข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความราบรื่นในการทำงาน
  • ทำงานให้เป็นทีม
  • ในการทำงานเป็นทีมนั้น ความรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมในทีมถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้ เมื่อพนักงานรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียว ได้ร่วมคิดสร้างสรรค์ทำงานเป็นทีมแล้ว องค์กรก็จะสามารถขับเคลื่อน ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
  • สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
    สิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำงานเป็นสิ่งหนึ่งในการจูงใจให้พนักงานอยากทำงาน เพราะหากพวกเขาต้องพบเจอประสบการณ์ในการทำงานที่ไม่ดี จะยิ่งทำให้กำลังใจลดน้อยถอยลงไป ดังนั้นสังคมในการทำงานที่ดี จะช่วยกระตุ้นให้พนักงานทุ่มเทให้องค์กร และก้าวไปสู่ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

  • สร้างความก้าวหน้าให้เห็น
    การทำงานให้เกิดผลสำเร็จ หัวหน้างานควรทำให้ลูกน้องเห็นเป็นตัวอย่างว่าการทำงานที่ดีเป็นอย่างไร และต้องไม่ลืมที่จะช่วยให้พนักงานเกิดความก้าวหน้าในการทำงานโดยผ่านการสอนงาน และทำให้รู้สึกว่าทักษะ และความสามารถที่มีทำให้เกิดความก้าวหน้าในการทำงานได้