Human resource management

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

หงุดหงิดก่อนเมนส์มา เป็นเพราะอะไรนะ?


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

          โอ๊ย...หงุด หงิดจริง ๆ จากสาวใจเย็นก็แปลงร่างเป็นสาวขี้ฉุนเฉียว อะไรไม่ได้ดังใจก็วีนแตก เฮ้อ...สาว ๆ หลาย ๆ คน มักมีอาการเช่นนี้ก่อนประจำเดือนมาราว ๆ 1 สัปดาห์ สงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงหงุดหงิด อารมณ์ไม่ค่อยดีในช่วงเวลาแบบนี้ทุกทีเลย นิตยสาร Woman Plus มีคำตอบค่ะ

          คำตอบก็คือ การที่ผู้หญิงมักจะมีอาการหงุดหงิดในช่วงก่อนประจำเดือนมา หรือช่วงใกล้มีประจำเดือนนั้น เกิดขึ้นเพราะมีอาการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงในช่วง เวลานี้นั่นเอง จนเกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย อันเป็นเหตุให้ผู้หญิงบางคนต้องพบกับความผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกายได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอาการทางกาย หรืออาการทางใจก็ตาม

          อาการ ทางกาย เช่น มีสิวขึ้น ตัวบวม ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดเอว ปวดศีรษะ เจ็บคัดตึงหน้าอก หรือเต้านม มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ซึมเศร้า กระวนกระวาย ไม่มีสมาธิ เดี๋ยวอารมณ์ดีเดี๋ยวไม่ดี เป็นต้น หากมีอาการในช่วงก่อนมีเมนส์มา 1 สัปดาห์ และพอรอบเดือนมาได้ 2-3 วัน อาการเหล่านี้ก็จะหายไปนั้น ก็ขอให้ฟันธงได้เลยว่า อาการเหล่านี้ก็คืออาการอันไม่พึงประสงค์ก่อนที่จะมีประจำเดือนนั่นเอง

          สำหรับใครที่อยากจะป้องกัน หรือแก้ไขอาการก่อนประจำเดือนมาแบบนี้ ก็แก้ไขได้ไม่ยาก โดยเริ่มตั้งแต่การรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่ให้วิตามินบีรวม แคลเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เล่นโยคะ เต้นแอโรบิก สวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังเพลงเบา ๆ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม รสจัด และกาเฟอีนจากชา กาแฟ ก็พอจะช่วยลดอาการอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้ได้บ้าง

          และสำหรับผู้หญิงที่รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่แล้ว ก็สามารถเลือกรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนช่วยลดอาการอันไม่ พึงประสงค์ก่อนมีประจำเดือนได้ เช่น ฮฮร์โมนดรอสไพรีโนน เป็นต้น ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้นอกจากจะลดอาการอันไม่พึงประสงค์ด้วยการปรับสมดุลของ ฮอร์โมนในร่างกายแล้ว ยังมีฤทธิ์ต้านฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชาย จึงใช้ในการรักษาสิว ผิวมัน ขนดกได้ดีอีกด้วย

ที่มา http://health.kapook.com/view46694.html

เคล็ด(ไม่)ลับ.. รีเซตชีวิตทุกเช้าให้สดใสซาบซ่า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
          ตอนเช้าถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะวัยที่กำลังศึกษา และวัยทำงาน เพราะทุกคนต้องรีบเร่งทำกิจกรรมส่วนตัวแข่งกับเวลา ก่อนจะออกไปโรงเรียน หรือออกไปออฟฟิศ ซึ่งบางครั้งความเร่งรีบนี้เองที่่ทำให้คุณหงุดหงิดอารมณ์เสียไปทั้งวัน ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องจุกจิกกวนใจ ก่อนออกจากบ้าน วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็เลยอยากจะชวนเพื่อน ๆ มารีเซตชีวิตให้ตื่นมาพร้อมกับความสดใสตอนรับวันใหม่กันค่ะ

1. อาหารเช้า
          ถ้าคุณไม่อยากจะตื่นมาเจออะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ ล่ะก็ ลองเปลี่ยนเมนูอาหารเช้า ด้วยการหาอะไรที่ไม่เคยทานบ้าง หรือถ้าคุณมักจะทำอาหารเช้าทานเองที่บ้านก็ลองสลับสับเปลี่ยนเมนูอาหารเช้า สักหน่อย อาจจะหาไอเดียใหม่จากอินเทอร์เน็ต หรือคำแนะนำดี ๆ จากหนังสือก็ได้ เช่น ถ้าวันจันทร์คุณทานโจ๊ก วันอังคารก็ลองเปลี่ยนมาทานไข่เจียว หรือเริ่มต้นวันศุกร์ด้วยอาหารเบา ๆ อย่างเช่น แพนเค้กสักชิ้นสองชิ้นก็ได้ แต่ถ้าอยากจะเพิ่มสารอาหารก็ลองเปลี่ยนมาทานอาหารที่มีธัญพืชอย่างเช่น แซนด์วิชขนมปังโฮลวีต หรือข้าวกล้องราดแกงร้อน ๆ สักจาน ดูบ้าง ก็ดีเหมือนกันนะ

2. ของใช้
          ถ้าเป็นไปได้คุณก็ควรพยายามจัดของใส่กระเป๋าให้เสร็จซะตั้งแต่ตอนกลางคืน ยิ่งถ้าคุณมีลูกก็ยิ่งต้องทำ เพราะถ้าคุณจัดเตรียมของไว้ก่อน ก็จะช่วยประหยัดเวลาตอนเช้าไปได้มากทีเดียว ที่สำคัญเมื่อเตรียมของเสร็จแล้วก็ควรนำไปไว้ใกล้ ๆ ประตู อาจจะวางไว้บนโต๊ะ โซฟา หรือหาที่แขวนสวย ๆ มาแขวนไว้ก็ได้ และถ้าอยากจะประหยัดเวลาอีกนิด ก็พยายามสอนลูกให้ช่วยเหลือตัวเองบ้าง โดยอาจจะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น ใส่ถุงเท้ารองเท้าเอง ทานอาหารเอง และหยิบของใช้เอง แต่ทั้งนี้คุณก็ควรวางของของลูก ไว้ในตำแหน่งที่เขาสามารถหยิบได้เองด้วยนะคะ

3. การแต่งตัว

          หลาย ๆ คนมักจะใช้เวลาไปกับการเลือกใส่เสื้อผ้า และนอกจากนี้ยังต้องคิดต่อไปอีกว่าจะทำผม แต่งหน้าอย่างไรให้เข้ากับชุด ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้คุณเสียเวลาไปไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นคุณควรคิดไว้ก่อนเลยว่าพรุ่งนี้จะแต่งตัวอย่างไร ถ้าคุณมีชุดยูนิฟอร์มก็รีดให้เรียบร้อยแล้วนำมาแขวนเอาไว้หน้าตู้เสื้อผ้า แล้วตอนเช้าก็หยิบใส่ได้เลยไม่ต้องคิดมาก ทรงผมก็พยายามหลีกเลี่ยงทรงที่ต้องใช้อุปกรณ์เซต เพราะมันจะทำให้คุณเสียเวลาโดยใช่เหตุ อาจจะเลือกรวบหางม้า หรือถักเปียเก๋ ๆ ก็ได้สวยดีออก ส่วนแต่งหน้าก็เอาแต่พองาม แล้วเก็บเครื่องสำอางค์เอาไว้จัดเต็มตอนไปเที่ยวดีกว่า

4. ตื่นให้เร็วขึ้น

          คุณควรจะตื่นก่อนเวลาปกติ 15 นาที ถ้าคุณยังทำไม่ได้ก็ลองปรับวันละ 5 นาทีดูก่อนก็ได้ ซึ่งช่วงแรก ๆ อาจจะทำยากสักหน่อย แต่ถ้าคุณทำจนติดเป็นนิสัยแล้วล่ะก็คราวนี้ตื่นเช้าก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ล่ะ นอกจานี้คุณอาจจะเปิดเพลงคลอเบา ๆ ระหว่างอาบน้ำไปด้วยก็ได้ เช่น เพลงบลอสซั่ม เพลงคลาสสิก เป็นต้น เพราะเสียงเพลงจะปรับอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้น แต่ถ้าคุณไม่ชอบฟังเพลงก็ลองสูดหายใจเข้า - ออก แบบลึก ๆ สัก 5 นาที หรือออกกำลังกายเบา ๆ ตอนเช้าแทนก็ได้ ไม่ว่าจะหมุนแขน หมุนคอ หมุนไหล่ ก็ช่วยทำให้คุณสดใสได้ทั้งนั้นเลย

5. นอนให้เร็วขึ้น

          การที่คุณนอนดึกแล้วคิดว่าจะนอนชดเชยในช่วงเสาร์ - อาทิตย์ล่ะก็ ไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเลยนะคะ เพราะนอกจากจะทำลายสุขภาพของคุณเองแล้ว ยังทำให้เวลานอนของคุณเพี้ยนไปด้วย ฉะนั้นไม่ว่าวันไหน ๆ ก็ควรเข้านอนให้ตรงเวลาดีกว่า

          เชื่อว่าหากเพื่อน ๆ ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตาม 5 ข้อที่กล่าวมานี้ ก็จะช่วยเปลี่ยนยามเช้าที่แสนน่าเบื่อให้กลับมาสดใสได้อีกครั้งหนึ่งแน่นอน จ้า^^

ที่มา http://hilight.kapook.com/view/75799

ไม่ว่าฤดูไหน ๆ ก็รับมือริมฝีปากแห้งได้ด้วยวิธีเหล่านี้

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ใคร ว่าริมฝีปากแห้งเกิดขึ้นได้เฉพาะในหน้าหนาว ไม่ว่าจะหน้าร้อนหรือว่าหน้าฝน ริมฝีปากของเราก็มีสิทธิ์แห้งแตกได้ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งวิธีรับมือกับเรียวปากแห้งแตก ลอกเป็นขุย แสบและคันยิบ ๆ ก็เป็นวิธีสุดคลาสสิกที่ใช้ดูแลริมฝีปากได้ดีทุกฤดูกาล ดังวิธีเหล่านี้ค่ะ 

     1. ลิปบาล์ม เพื่อนแท้ของเรียวปาก

          ไม่ว่าจะในฤดูไหน ๆ ริมฝีปากของคุณก็ห้ามห่างจากลิปบาล์มเป็นอันขาดเชียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นลิปบาล์มแบบแท่งหรือแบบตลับ ให้ทาเป็นประจำทุกเช้าเย็น รวมถึงพกติดตัวไปใช้ หยิบขึ้นมาทาปากได้บ่อย ๆ เท่าที่ต้องการในทุกครั้งที่รู้สึกว่าปากแห้ง

     2. ไม่เลียริมฝีปาก

          หลาย ๆ คนเมื่อรู้สึกว่าปากแห้งแล้วก็ชอบแลบลิ้นมาเลียริมฝีปาก นัยว่าน้ำลายจะช่วยทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นขึ้นมาได้ทันใจ แต่หารู้ไม่ว่าน้ำลายนั้นระเหยได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งทำให้ริมฝีปากแห้งกว่าเก่า เพราะฉะนั้นแทนที่เลียริมฝีปาก ก็เปลี่ยนเป็นเปิดกระเป๋าล้วงหาลิปบาล์มที่พกไว้ขึ้นมาทาดีกว่าจ้ะ เสียเวลาเพิ่มขึ้นแค่ไม่กี่อึดใจ แต่รับรองว่าดีต่อสุขภาพผิวที่ริมฝีปากมากกว่าแน่นอน

     3. เลือกใช้ลิปสติกที่มีมอยส์เจอไรเซอร์
          ไม่ว่าริมฝีปากจะอยู่ในสภาพไหน สาว ๆ ก็อดใจไม่ได้ที่จะใช้ลิปสติกในการเติมสีสันให้กับเรียวปากอยู่ดี แต่ถ้าใช้แล้วมันทำร้ายริมฝีปาก ให้ลุคที่แมตต์มากจนด้านและแห้งเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี ถ้าเจอลิปสติกแบบนี้ให้ตัดใจบอกเลิกไปเสียดีกว่า แล้วหันมาซบอกลิปสติกที่มีมอยส์เจอไรเซอร์เป็นส่วนผสม ทาปากได้สีสวยด้วยแถมยังเพิ่มความชุ่มชื้นไปพร้อม ๆ กันอีกต่างหาก ประโยชน์สองเด้งเห็น ๆ (ถ้ามีค่า SPF ด้วยก็จะเป็นสามเด้งเลยล่ะค่ะ ^^)


          นี่ แหละวิธีดูแลริมฝีปากแบบคลาสสิก ใช้ได้ผลดีจริงทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี ใครอยากเรียวปากสวยทุกซีซั่นต้องปฏิบัติตามนี้ให้เป็นนิสัยนะจ๊ะ ^^

ที่มา    http://women.kapook.com/view46472.html

พื้นฐานแต่งหน้าเด้งเป็นธรรมชาติ ง่ายนิดเดียว

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           อยากแต่งหน้าให้คนทักว่า "แหม วันนี้หน้าเด้งจัง" แต่ไม่ว่าจะลองแต่งกี่ทีก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้นเลย บางทีคุณอาจจะพลาดมาตั้งแต่ขั้นตอนพื้นฐานของการแต่งหน้าเลยก็ได้นะคะ ถ้าอย่างนั้นลองมาเช็คกันดูสิว่า ขั้นตอนพื้นฐานสุดเบสิกที่ควรทำเพื่อการแต่งหน้าที่เนียนกริบแบบสวยใสเป็น ธรรมชาตินั้น มีอะไรบ้าง

สครับผิวเพื่อผิวเรียบเนียน

           ผิว สวย ๆ ไม่ได้มาจากขั้นตอนการทาครีมหรือลงเครื่องสำอางเท่านั้น แต่ยังต้องมาจากการเตรียมผิวให้เรียบเนียนด้วยการสครับเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนการแต่งหน้า ซึ่งนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสาว ๆ จึงควรสครับผิวเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ยังไงล่ะคะ ผิวเรียบ ๆ ไม่มีเซลล์ผิวหนังที่แห้งหรือลอกเป็นขุยเล็ก ๆ จะทำให้คุณแต่งหน้าได้สวย ลงรองพื้นก็เนียน เบลนด์สีเครื่องสำอางก็ทำได้ไม่สะดุดมือ และไม่จับตัวเป็นปื้นด้วย

ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ก่อนการแต่งหน้าทุกครั้ง

           สาว ๆ หลายคนมักข้ามขั้นตอนนี้ไป เพราะเห็นว่าหน้าก็ไม่ได้มีปัญหาผิวแห้งอะไรมากมาย ประหยัดเวลาดีด้วย และกลัวทาลงไปแล้วหน้าจะยิ่งมัน เดี๋ยวแต่งหน้าไม่ติด แต่ความจริงผิวที่ได้รับการบำรุงให้ชุ่มชื้นแล้วต่างหากที่จะทำให้เครื่อง สำอางเกาะผิวได้ดีกว่า และหากรู้สึกว่าหน้ามันระหว่างวันคุณก็สามารถซับมันและเติมแป้งได้ ดีกว่าปล่อยให้ผิวขาดการบำรุงเป็นประจำ ซึ่งจะทำให้ผิวเหี่ยวถาวรได้ค่ะ

Less is more แต่งน้อยได้มาก

           ถ้า รักจะแต่งหน้าให้ออกมาดูเป็นธรรมชาติ ให้ยึดสีเฉดนู้ดเอาไว้เป็นหลัก ไม่ปัดแก้มจัดไป ไม่ทาปากจัดไป ไม่แต่งตาหนักไป ยึดหลัก Less is more เข้าไว้ แต่งน้อย ๆ ก็ทำให้ดูเนียนใสเป็นธรรมชาติได้จริง ๆ

ที่มา...http://women.kapook.com/view46702.html

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

เมล็ดมะขาม เสริมภูมิต้านทาน ยับยั้งเซลล์มะเร็ง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผลวิจัย ชี้ เมล็ดมะขาม มีประโยชน์มาก ช่วยเสริมภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อไวรัส และยังยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ด้วย ยืนยัน ไม่มีพิษต่อร่างกาย

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 9 "การนวดไทย มรดกไทยสู่มรดกโลก" ที่อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 6 กันยายน รศ.พร้อมจิต ศรลัมภ์ อาจารย์ประจำสำนักงานข้อมูลสุมนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิล ได้แถลงข่าว "รวมพลคนต้านมะเร็งจากสหวิชาชีพ" เกี่ยวกับผลวิจัยเรื่องเมล็ดมะขาม ที่พบว่า มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังสามารถยับยั้งการเกิดเซลล์เนื้องอกมะเร็งได้

          โดย รศ.พร้อมจิต กล่าวว่า ในงานวิจัยของต่างประเทศหลายชิ้นที่ได้วิจัยเกี่ยวกับเมล็ดมะขาม พบว่า ในเนื้อเมล็ดมะขามมีไขมันและโพลีแซคคาไลด์ ซึ่งโพลีแซคคาไลด์นี้มีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยมันจะไปกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายสูงขึ้น เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะเชื้อไวรัส


          นอกจากนี้ สารโพลีแซคคาไลด์ ยังเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ไม่ก่อให้เกิดโรคเบาหวานเหมือนน้ำตาลโมเลกุลคู่อย่างกลูโคส โดยจากการทดลองพบว่า เมล็ดมะขามสามารถรักษาภาวะเบาหวานของหนูทดลองได้ ส่วนเปลือกเมล็ดมะขามที่มีสีน้ำตาล มีสารแทนนินที่ไม่ละลายน้ำเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 35 สามารถนำมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคได้

          ส่วนเรื่องความเป็นพิษต่อร่างกายนั้น รศ.พร้อมจิต เปิดเผยว่า ในงานวิจัยของต่างประเทศเคยทดสอบ เพื่อหาว่าเมล็ดมะขามมีพิษต่อร่างกายหรือไม่ ซึ่งได้ทดสอบทั้งพิษแบบเฉียบพลัน และพิษระยะยาว 3-4 เดือน แต่ก็ไม่พบว่าเมล็ดมะขามทำให้เกิดพิษในร่างกาย ดังนั้น จึงสามารถทานเมล็ดมะขามได้เหมือนอาหารอย่างหนึ่ง

          อย่างไรก็ตาม อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ยังย้ำว่า ควรทานอาหารอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ไม่ใช่ทานเมล็ดมะขามเพื่อป้องกันมะเร็งเพียงอย่างเดียว

ที่มา..http://health.kapook.com/view46881.html

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

6 เทคนิคการดูแลผิวหน้าด้วยผลไม้


ทุกวันนี้ผิวโดนทำร้ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือมลภาวะต่างๆ ถึงเวลา Back to the nature เพิ่มเติมความสดใสคืนสู่ผิวกันแล้วนะจ๊ะ สำหรับหนุ่มสาวที่อยากหน้าใสสวยเด้ง ฟังทางนี้ โบว์ มี 6 สูตรมาร์คหน้าง่ายๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส มาฝากกันโดยใช้ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบหลัก
1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม:  น้ำผึ้ง 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
3. สูตรกระชับรูขุมขน
ส่วนผสม: กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย
น้ำมันดอกทานตะวัน
มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
  • สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
ส่วนผสม: กล้วย 1 ผล
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
  • สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา
ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ
ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น
  • เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
Tips:
  • ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
  • ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
  • ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
  • เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ

ศาสตร์ธรรมชาติบำบัด...ลดความอ้วน

เพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ ลดน้ำหนักด้วยการกินยาลดความอ้วนหรือใช้วิทยาการทาง การแพทย์ เราจึงรวบรวมศาสตร์การลดน้ำหนักแนวธรรมชาติที่เป็นจริงและเห็นผล โดยไม่มีอันตรายต่อสุขภาพมาบอกคะ
- ดลจิตลดความอ้วน
เป็น เทคนิคการลดความอ้วนใหม่ล่าสุด ประยุกต์ศาสตร์ด้านจิตวิทยาและโภชนาการมาควบคุมพฤติกรรมการกินที่ส่งผลกระทบ ต่อสุขภาพจนทำให้เกิดโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน โดยผู้เข้ารับการรักษาต้องตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อน เพื่อวิเคราะห์สาเหตุปัจจัย ที่ทำให้เกิดความอ้วน แล้วก็จะออกรหัสคำสั่งให้ผู้เข้ารับการรักษาท่องจำรหัสที่กำหนดไว้
อย่างคำว่า กินอาหารช้าๆ กินผัก โดยถ้อยคำที่ใช้เป็นรหัสจะต้องไม่เป็นถ้อยคำปฏิเสธ โปรแกรมลดความอ้วนด้วยวิธีดลจิตจะใช้เวลารักษาต่อเนื่องเดือนละ 21 วันและต้องรับการรักษาให้ครบคอร์ส 3 เดือนหรือ 5 เดือน
- หัวเราะบำบัด (ช่วยลดความอ้วน)
มี ข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันจากอเมริกาว่า ถ้าคุณสามารถหัวเราะวันละนิดจะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมยิ่งเครียดยิ่งกิน ของ คนน้ำหนักเกินส่วนใหญ่ แม้ว่าจะโหมกินยาลดความอ้วน ดูไขมัน อดอาหาร แต่ตราบใดที่ยั งเครียดอยู่ก็ยากที่จะผอมสมใจและมีผลเสียต่อสุขภาพตามมามากมา
แต่เมื่อคุณหัวเราะสารแห่งความสุขออกมา ช่วยให้จิตใสบายขึ้น ปัจจุบันมีชมรมหัวเราะบำบัดเกิดขึ้นกว่า 3,000 แห่งทั่วโลก ส่วนในเมืองไทยไปร่วมกิจกรรมได้ที่ "โครงการศาสตร์และศิลป์แห่งการหัวเราะบำบัด"ทุกวันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 14.00 น. อาคาร 14 ชั้น 2 ห้องโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ไม่เสียค่าใช้จ่าย
- อาหารบำบัด
เน้น การกินให้น้อยลง แต่ไม่ใช้วิธีการอดอาหาร เช่น ในแต่ละมื้อกินให้น้อยลง หรือกินเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่เคยกิน สร้างความพึงพอใจในรสชาติของอาหาร
คือ การกินช้าๆ เพื่อให้ซึมซับรสชาติให้มากที่สุด งดอาหารหวานๆ เพราะการกินแป้งและน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้อ้วนได้ แล้วเน้นกินอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักและผลไม้ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพไปในตัวขณะที่ผอมลง
- ตากแดดลดอ้วน
สาวๆ เคยสังเกตตัวเองไหมคะว่า เรามักจะดูซูบลงเล็กน้อยตอนหน้าร้อน ทั้งที่ไม่ได้อกกำลังกายเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนอาหารที่กินในแต่ละวัน แต่เพราะแสงอาทิตย์ช่วยผลิตฮอร์โมนสองตัวในการเผาผลาญอาหาร นั่นคือวิตามินดี และ Melannocyte Stimulating Hormone (MHS) นั่นเอง เป็นที่รู้กันว่าวิตามินดีช่วยเสริมสร้างกระดูก ซึ่งมีผลต่อ Immune System และการเผาผลาญอาหาร
ส่วน MHS ทำหน้าที่เผาผลาญไขมัน ซึ่งผลิตโดย The Pigment Cells ในชั้นผิวหนังและเซลล์ตัวนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อได้รับแสงอัลตร้าไวโอเล็ตที่ มาพร้อมกับแสงอาทิตย์ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปยืนตากแดดให้ตัวดำปี๋ ทุกวันเพราะอยากลดความอ้วน เพราะอาจเป็นมะเร็งผิวหนังได้ แค่ตื่นเช้าหน่อยไปออกกำลังกายรับแสงแดดทุกวัน งดแป้ง ขนมหวาน และกินผักผลไม้เพิ่มขึ้น แค่นี้หุ่นก็ปิ๊งแล้วคะ
- โยคะบำบัดลดความอ้วน
คุณ คงเคยได้ยินกันถึงวิธีการฝึกโยคะเพื่อรักษาสุขภาพกันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ และทราบไหมคะว่า การเล่นโยคะนั้นนอกจากจะเป็นการฝึกกล้ามเนื้อ ช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ และเป็นการฝึกสมาธิแล้ว
สำหรับคนที่มีน้ำหนักเกิน การฝึกโยคะเป็นประจำจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้ใช้พลังงานมากขึ้น แทนการออกกำลังกายแบบแอโรบิคเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกของกระดูกและข้อ ต่างๆ
- ฝังเข็มลดความอ้วน
เป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีน ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นสะโพก ต้นขา ต้นแขน หรือหน้าท้องเพราะจะช่วยในเรื่องดึงพลังงาน กระตุ้นพลังงานหรือเรียกว่าพลังงานลมปราณ (ชี่) ซึ่งเมื่อพลังงานวิ่ง เลือดลมก็จะวิ่งตาม ทำให้เกิดการเผาผลาญไขมัน

ขอบคุณข้อมูลจาก www.momypedia.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com